ส.อ.ท. จ่อปรับเป้ายอดผลิตรถยนต์ปี 2565 หลังจบไตรมาส 2 หลังเผชิญหลายวิกฤติ

ส.อ.ท. จ่อปรับเป้ายอดผลิตรถยนต์ปี 2565 หลังจบไตรมาส 2 หลังเผชิญหลายวิกฤติ

กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. จ่อปรับเป้ายอดผลิตรถยนต์ทั้งปี 2565 หลังเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติ ปัญหาขาดแคลนชิพยังยืดเยื้อ หวั่นราคาน้ำมันดันต้นทุนผลิตสูงขึ้น และการปรับอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อ ฉุดกำลังซื้อในประเทศครึ่งปีหลัง รอประเมินอีก 1 เดือน

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดผลิตรถยนต์ 5 เดือนแรกปี 2565 อยู่ที่ 727,095 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 2.36% ขณะที่เดือน พ.ค. 2565 ผลิตรถยนต์ได้ 129,231 คัน ลดลงจากปีที่แล้ว 7.8% โดยยอดส่งออกรถยน์สำเร็จรูปเดือน พ.ค. 2565 ส่งออกได้ ส่งออกได้ 76,937 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้ว  48.78% แบ่งเป็น การผลิตเพื่อส่งออกรถยนต์นั่งลดลง 23.05% และรถกระบะลดลง 17.84% รวมทั้งผลิตรถยนต์นั่งเพื่อจำหน่ายในประเทศลดลง 0.31% เนื่องจากการขาดแคลนชิ้นส่วนและเซมิคอนดักเตอร์ในบางรุ่น 05 จึงส่งออกไปตลาดรถยนต์นั่งลดลง เช่น ตลาดเอเชียและตลาดยุโรป มูลค่าการส่งออก 46,226.52 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 4.52%

"ปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิพ) ยังเป็นปัญหาต่อเนื่องที่ถูกซ้ำเติมด้วยการที่จีนล็อกดาวน์เมืองเซี่ยงไฮ้ทำให้การผลิตหยุดชะงัก รวมทั้งการที่รัสเซียจำกัดการส่งออกก๊าซสำคัญในการผลิตชิพยังส่งผลให้ราคาต้นทุนชิพเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ความต้องการชิพเพิ่มมากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม อาทิ การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า การสร้างเมืองอัจฉริยะ ซึ่งการลงทุนใหม่เพื่อตั้งโรงงานผลิตยังต้องใช้เวลาเตรียมการอีกอย่างน้อย 3 ปี จึงจะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ โดยขณะนี้ ส.อ.ท. ยังยืนยันเป้าการผลิตทั้งปี เดิมที่ 1.8 ล้านคัน โดยจะมีการประเมินสถานการณ์ในอีก 1 เดือน ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างไร"

สำหรับยอดขายในประเทศเดือน พ.ค. 2565 อยู่ที่ 64,735 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเม.ย. 2.06% และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 15.71% จากการผ่อนคลายการล็อกดาวน์มากขึ้นของรัฐบาล ทำให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการผ่อนคลายความเข้มงวดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน การประกันรายได้เกษตรกร รวมทั้งการส่งออกยังคงเติบโตดี ทำให้ประชาชนหลายภาคส่วนมีรายได้ดีขึ้น 

"ทั้งนี้ ยอดขายในประเทศช่วง 5 เดือนแรกอยู่ที่ 359,351 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ในระยะเวลาเดียวกัน 16.59% แสดงถึงกำลังซื้อในประเทศที่ยังเติบโต อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลราคาน้ำมันและวัตถุดิบที่สูงขึ้นมากจนอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก รวมทั้งหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นสูงและการปรับอัตราการเช่าซื้อรถจะทำให้อำนาจซื้อของประชาชนลดลง" 


ขณะที่สถานการณ์ราคาน้ำมันในปัจจุบันและมาตรการสนับสนุนรถอีวีจากภาครัฐกระตุ้นให้แนวโน้มความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในเดือน พ.ค. 2565 รวมยอดรถ BEV จดทะเบียนใหม่ 1,567 คัน เพิ่มขึ้น 189.65% จากปีก่อนหน้า โดยส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มรถอีวีราคาสูงที่ไม่ได้ร่วมในแพ็คเกจอีวี เนื่องจากประชาชนเริ่มมีความมั่นใจในมาตรการสนับสนุนการใช้รถอีวีที่ครอบคลุมของภาครัฐ  

โดยรวมยอดจดทะเบียนรถ BEV 5 เดือนแรก มีจำนวน 5,702 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 156.15% ส่วนรถประเภท HEV จดทะเบียนใหม่ 5,362 คัน เพิ่มขึ้น 67.77% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวน 27,093 คัน เพิ่มขึ้น 46.80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรถประเภท PHEV จดทะเบียนใหม่ 1,056 คัน เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อน และช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวน 4,862 คัน เพิ่มขึ้น 55.09% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน