บล.บัวหลวง คาด ดัชนีครึ่งปีหลัง แตะ 1,700 จุด เชื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว

บล.บัวหลวง คาด ดัชนีครึ่งปีหลัง แตะ 1,700 จุด  เชื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว

บล.บัวหลวง คาด ดัชนีครึ่งปีหลังแตะ 1,700 จุด แรงหนุนเศรษฐกิจฟื้นตัวจากการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยว - กำไร บจ.ไตรมาส 2/65 คาดเติบโต 9% พร้อมแนะจัดพอร์ตลงทุนรับมือความผันผวน และเงินเฟ้อพุ่งต่อเนื่อง ลงทุนหุ้น 60% ที่เหลือกระจายในกองทุนอสังหาฯ - สินค้าโภคภัณฑ์ - ตราสารหนี้

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การประเมินเป้าหมายดัชนี SET Index ในช่วงครึ่งหลังปี 2565 ที่ระดับ 1,700 จุด ยังคงเป็นไปได้  ส่วนกรอบล่างอาจมี Downside อยู่ที่ 1,550-1,570 จุด

แม้อัตราเงินเฟ้อสูง และราคาสินค้าเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่า เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัว และหนุนดัชนีให้ค่อยๆ ไต่ขึ้นไปสู่เป้าหมาย หลังจากเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และผ่อนปรนมาตรการให้ร้านอาหารกลับมาเปิดได้ ซึ่งหัวใจสำคัญอยู่ที่มาตรการต้องไม่เปลี่ยนไปมาเพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น อย่างไรก็ตาม ดัชนีอาจไม่ถึงเป้าหมายหากสถานการณ์สงครามรัสเซีย และยูเครนขยายวงไปยังภูมิภาคอื่นๆ  

ทั้งนี้ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในช่วงครึ่งหลังคือ อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูง จากตัวเลขประกาศอัตราเงินเฟ้อสหรัฐ ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา พุ่งทำนิวไฮในรอบ 40 ปี แต่เราคาดว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐ จะผ่านจุดสูงสุด และอัตราเร่งจะเริ่มลดลงในกลางปี 2565 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2566 

     จากสาเหตุการจับจ่ายใช้สอยในสหรัฐ มีสัญญาณอ่อนตัวลงเป็นเดือนที่ 3,การขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยลดลงอย่างรุนแรงต่อเนื่อง และจำนวนกองเรือสำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเริ่มทยอยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าระวางน่าจะอ่อนตัวลงต่อได้  

ส่วนการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครนยังดำเนินต่อไป สำหรับอัตราเงินเฟ้อของไทยยังไม่ถึงจุดพีคอาจได้เห็นในช่วงไตรมาส 3-4 ปี 2565 ซึ่งจะช้ากว่าสหรัฐและยุโรป โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คาดการณ์ว่า ในปี 2566 เงินเฟ้อจะต่ำกว่าปีนี้

ชี้ให้เห็นว่า กนง.ประเมินเงินเฟ้อจะแตะระดับสูงสุดในปี 2565 และหลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดลงในปีหน้าเช่นกัน ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ระดับราคาน้ำมัน ซึ่งจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ตามแผนที่วางไว้

ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเร็วในการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้อีก 0.75% และจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกราว 1% ในการประชุมที่เหลือของปีนี้ และน่าจะจบรอบการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครึ่งแรกปี 2566

ในส่วนของกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) มองว่า ปี 2565 เป็นปีแรกที่จะเห็นการฟื้นตัวของกำไร เพราะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยว และการจับจ่ายใช้สอยดีขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการ ส่งผลให้กำไรบจ.ไตรมาส 1 ปี 2565 เติบโตได้ดี

รวมทั้งแนวโน้มไตรมาส 2 ปี 2565 คาดการณ์กำไร บจ.จะเติบโต 9% จากไตรมาสแรก ซึ่งหากไม่รวมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพลังงานกำไร บจ.จะเติบโต 1% จากไตรมาส 1 ปี 2565 เนื่องจากราคาต้นทุนสินค้า และการขนส่ง อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกำไร บจ.ในไตรมาส 2 ปี 2565 กับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อาจเติบโต 35% แต่หากไม่รวมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพลังงานกำไร บจ.จะเติบโต 10%

สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่า กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง ในปี 2565 ส่งผลให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจาก 0.5% เป็น 1-1.25%  โดยครั้งแรกอาจเห็นในเดือนกรกฎาคม นี้ และปี 2566 อาจเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก  1-2 ครั้ง หรืออาจไม่ขึ้นก็ได้ขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และทิศทางเงินเฟ้อประเทศไทยที่ กนง.คาดการณ์ไว้

ส่วนการท่องเที่ยวของไทยปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาวันละ 3 หมื่นคน ตกเดือนละเกือบ 1 ล้านคน เรามองว่า อาจเป็นไปตามที่รัฐบาลคาดการณ์ที่จะได้เห็นนักท่องเที่ยว 8 ล้านคน ในปี 2565 และปี 2566 ที่ระดับ12-15 ล้านคน โดยทิศทางตัวเลขรายเดือนเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องจับตา เพราะเป็นตัวขับเคลื่อน และมีอิทธิพลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

นายชัยพร กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะดีกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นๆ แม้ในแง่ของค่า P/E ตลาดหุ้นไทยจะมีพรีเมียมสูงกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคอยู่บ้าง โดยเฉพาะตลาดหุ้นเวียดนามที่โดดเด่นในปีนี้ แต่เวียดนามเป็นตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) ที่เพิ่งเริ่มต้น และเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติเข้าได้จำกัด

แม้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ให้ผลตอบแทนแรง 30-40% เหมือนหุ้นเวียดนาม แต่คาดหวังผลตอบแทน 6-10% ต่อปีนั้นยังเป็นไปได้ และภาพรวมตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะผันผวนมากเหมือนต่างประเทศ อาจเป็นเพราะข้อดีของตลาดหุ้นไทยที่มีหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์มากซึ่งมีผลต่อดัชนี" 

รวมทั้งกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ เรายังคงแนะนำให้จัดพอร์ตแบบเน้นกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวน โดยให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสัดส่วน 60%, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานสัดส่วน 20%

เนื่องจากมองว่าอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัว และมีการจ่ายเงินปันผลที่น่าสนใจ นอกจากนี้ควรมีการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำ และน้ำมันสัดส่วน 10% ที่เหลือแนะนำให้ถือเป็นเงินสด และตราสารหนี้ระยะสั้นสัดส่วน 10%

สำหรับกลุ่มหุ้นแนะนำเป็นกลุ่มที่ดีอยู่แล้ว และคาดว่าจะดีต่อเนื่องคือ กลุ่มโภคภัณฑ์, น้ำมัน, ถ่านหิน และกองเรือ คาดการณ์กำไรยังเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังแนะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เช่น กลุ่มสถาบันการเงิน

รวมถึงหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่อาจมีกำไรเติบโตโดดเด่นกว่าโรงพยาบาลขนาดกลาง และเล็ก เพราะได้รับผลกระทบไม่มากนักจากภาวะอัตราเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยขึ้น สำหรับกลุ่มอาหารส่งออกไก่ หมู น่าจะดีต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้ จากภาวะขาดแคลนอาหาร และค่าเงินบาทอ่อนเทียบค่าเงินสหรัฐ (USD) ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้า, คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์, อิเล็กทรอนิกส์ และอสังหาริมทรัพย์ ยังไม่แนะนำในช่วงนี้จนกว่าจะเห็นภาพราคาก๊าซ และอัตราผลตอบแทนหุ้นกู้เริ่มลดลง 

 


พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์