‘กรณ์’ แนะโมเดลใหม่สร้างรายได้ชู ‘Rainbow Economy’ดึงเม็ดเงิน 1.5 ล้านล้าน

‘กรณ์’ แนะโมเดลใหม่สร้างรายได้ชู ‘Rainbow Economy’ดึงเม็ดเงิน 1.5 ล้านล้าน

“กรณ์” แนะใช้โมเดลใหม่สร้างรายได้เข้าประเทศ ชู เรนโบว์อีโคโนมี่ ดึงรายได้ 1.5 ล้านล้าน คาสิโนแซนด์บ็อกดึงลงทุน 3 แสนล้าน ท่องเที่ยวสายมูดึงกลุ่มรายได้สูงเข้าประเทศ เสนอสร้างสะพานข้ามสมุย 4.5 หมื่นล้าน ทดแทนรายได้ที่หายไปจากช่วงโควิด-19

นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายหลายเรื่องที่จะส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ทั้งเรื่องของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การขาดแคลนแรงงานในหลายอุตสาหกรรม เช่น ก่อสร้าง และการท่องเที่ยว ขณะที่รายจ่ายภาครัฐมีมากขึ้นเรื่อยๆดังนั้นจำเป็นที่จะต้องมองหาโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่จะสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับประเทศโดย

เป็นการดึงกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทยเพื่อให้มีการกระจายเม็ดเงินรายได้ และเปิดโอกาสให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อมได้มากขึ้น โดยมีข้อเสนอใน 4 เรื่องได้แก่

1.การส่งเสริมเศรษฐกิจ Rainbow Economy กลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ)ที่จะเข้ามาแต่งงานในประเทศไทย หรือคู่รักในกลุ่มนี้ที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ทั้งนี้จากผลการสำรวจในต่างประเทศระบุว่ากลุ่ม LGBTQ มีกำลังซื้อสูงมากมีการใช้จ่ายประมาณ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี

โดยที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการโรงแรมในจังหวัดท่องเที่ยวพบว่ากลุ่มคู่รักที่เป็น LGBTQ ที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยนั้นมีการใช้จ่ายเงินมากกว่าคู่รักชายหญิงประมาณ 50% และมีการซื้อกิจกรรมต่อเนื่องเช่นซื้อทัวร์ แพคเกจกิจกรรมเพิ่มเติมระหว่างการท่องเที่ยวด้วยเงินที่สูงอาจจะเนื่องจากไม่มีภาระในการใช้จ่ายเงินเลี้ยงดูบุตรทำให้ใช้จ่ายเงินได้มาก

ขณะที่ประเทศไทยก็มีข้อดีในเรื่องของการที่คนไทยเปิดรับความหลากหลาย และกำลังจะมีกฎหมายสมรสมเท่าเทียมออกมาที่คู่รักที่เป็นกลุ่ม LGBTQ แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันได้ หากสามารถที่จะใช้จุดขายเหล่านี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวในกลุ่มนี้เข้าประเทศไทยคาดว่าจะสร้างรายได้เข้าประเทศประมาณ 1.5 ล้านล้านบาทต่อปี

2.การอนุญาตให้มีการลงทุนบ่อนคาสิโนในประเทศไทย ในพื้นที่ปิด หรือเป็นพื้นที่แซนด์บ็อกสำหรับการเปิดบ่อนคาสิโนในประเทศไทย ในเรื่องนี้นายกรณ์กล่าวว่าต้องยอมรับความจริงว่าทุกวันนี้ถึงไม่มีการเปิดคาสิโนในประเทศไทยแต่นักเสี่ยงโชคที่เข้าไปเล่นการพนันในบ่อนคาสิโนในประเทศเพื่อนบ้านเป็นจำนวนมาก

ดังนั้นควรที่จะมีการพูดคุยกันจริงจังเรื่องของการเปิดบ่อนคาสิโนในประเทศไทยโดยสามารถที่จะเปิดในพื้นที่ที่กำหนดไว้เฉพาะหรือ แซนด์บ็อก เช่น จังหวัดท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมเดินทางไปมาก เช่น จังหวัดภูเก็ต ก็ให้ประชาชนในพื้นที่ทำประชามติ และเมื่ออนุมัติให้จัดตั้งได้ก็ให้ออกข้อกำหนดต่างๆให้ชัดเจน เช่น ไม่ให้คนไทยเข้าไปเล่นคาสิโน เป็นต้น

ทั้งนี้จากการหารือกับบริษัทคาสิโน่ที่มีการลงทุนในสิงคโปร์นั้นได้แสดงความต้องการที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในพื้นที่ภูเก็ตด้วยวงเงินลงทุนถึงประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งเมื่อมีการลงทุนแล้วจะมีการจ้างงานในพื้นที่จำนวนมาก และสามารถดึงเงินรายได้เข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆที่จะเก็บได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

3.การส่งเสริมการท่องเที่ยวสายมู ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมมาก และทำให้เศรษฐกิจบางที่คึกคักมาก เช่น เศรษฐกิจของจ.นครศรีธรรมราช ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปขอโชคลาภจากไอ้ไข่ โดยเรื่องที่เป็นเรื่องคติความเชื่อ เรื่องเล่าในพื้นที่ชุมชนซึ่งชาวต่างชาติก็สนใจเรื่องเหล่านี้ สามารถที่จะดึงการท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่สนใจเรื่องนี้เข้ามาในประเทศไทย และจะช่วยให้เศรษฐกิจชุมชนมีเม็ดเงินหมุนเวียนช่วยเศรษฐกิจชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากได้อีกมาก

และ 4.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างจังหวัดให้มีการเดินทางที่สะดวกสบายมากขึ้น เช่น สะพานที่ข้ามจาก อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ไปยัง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี วงเงินค่าก่อสร้างประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งสะพานนี้จะช่วยให้มีการข้ามไปท่องเที่ยวยังเกาะสมุยมากขึ้น จากที่ปัจจุบันมีสายการบินให้บริการไม่กี่สายการบิน และค่าตั๋วเครื่องบินสูงมาก หากมีสะพานข้ามไปยังเกาะสมุยจะทำให้มีการเดินทางไปมาระหว่างเกาะสมุยกับจ.นครศรีธรรมราชมากขึ้นโดยใช้เส้นทางคมนาคมทางบก ถือเป็นการเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ได้มากขึ้น

“การหารายได้เข้าประเทศเพิ่มเป็นโจทย์ที่รัฐบาลต้องกล้าคิด และใช้จินตนาการให้มากขึ้นว่าจะสร้างรายได้ให้มากขึ้นได้อย่างไร ขณะที่การบริหารงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลในปัจจุบันจำเป็นที่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย การใช้งบประมาณที่มีอยู่ต้องใช้ไปในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนมากกว่าการ”