ส่องอนาคตหุ้นพลังงาน “ต้นน้ำ”รุ่ง - “โรงกลั่น”อ่วม! เฉือนกำไรเข้ารัฐ

ส่องอนาคตหุ้นพลังงาน “ต้นน้ำ”รุ่ง - “โรงกลั่น”อ่วม! เฉือนกำไรเข้ารัฐ

“ราคาน้ำมัน” ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ถูกพูดถึงอย่างมากในช่วงนี้ เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน

เพราะน้ำมันถือเป็นเชื้อเพลิงหลักที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อน้ำมันแพงส่งผลให้ราคาสินค้าต่างๆ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย จนดันเงินเฟ้อไทยพุ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี

สถานการณ์น้ำมันแพงลามไปทั้งโลก จากดีมานด์ที่เพิ่มสูงขึ้นหลังโรคระบาดโควิด-19 คลี่คลาย กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาคึกคักอีกครั้ง สวนทางอุปทานที่ตึงตัวหลังเกิดสงครามระหว่างรัสเซียยูเครน แม้ว่าล่าสุดกลุ่มโอเปกพลัสบรรลุข้อตกลงในการปรับเพิ่มกำลังการผลิต แต่ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับความต้องการที่เร่งตัวขึ้น

ที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามอย่างสุดตัวในการอุ้มราคาน้ำมัน เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน โดยใช้เม็ดเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาอุดหนุน ด้วยการตรึงราคาดีเซลไว้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร จนสุดท้ายไม่ไหวต้องปล่อยให้ขึ้นราคา โดยรัฐจะเข้ามาช่วยครึ่งหนึ่งจากส่วนที่เกิน 30 บาท เริ่มตั้งแต่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ มีการกำหนดกรอบเพดานไว้ไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร ซึ่งปัจจุบันชนเพดานเรียบร้อย ขณะที่กองทุนติดลบเฉียด 1 แสนล้านบาท ทำให้คาดการณ์กันว่าคงต้องมีการขยับขึ้นเพดานรอบใหม่ 

เพราะราคาน้ำมันดิบตลาดโลกยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงง่ายๆ นอกจากนี้ ยังมีการใช้มาตรการทางภาษี ด้วยการลดภาษีสรรพสามิตดีเซล 3 บาทต่อลิตร ในช่วง 18 ก.พ.-20 พ.ค. ที่ผ่านมา จากนั้นได้เพิ่มส่วนลดเป็น 5 บาทต่อลิตร ซึ่งมาตรการกำลังจะสิ้นสุด 20 ก.ค. นี้

แม้จะงัดสารพัดวิธีมาใช้แต่ยังไม่สามารถดึงราคาน้ำมันลงมาได้ ล่าสุดมีหลายเสียงออกมาเรียกร้องให้ปรับลด “ค่าการกลั่น” หรือ ดึงกำไรจากกลุ่มโรงกลั่นมาสมทบกองทุนน้ำมัน แม้จะไม่ใช่วิธีใหม่ เคยพูดถึงหลายต่อหลายครั้งในช่วงที่น้ำมันพุ่งแรง แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้จริง เนื่องจากขัดต่อกลไกตลาดเสรีที่รัฐไม่ควรเข้ามาแทรกแซง 

แต่ล่าสุดมีการเคาะแนวทางออกมาแล้ว จะขอความร่วมมือเก็บกำไรส่วนหนึ่งจากค่าการกลั่นและการแยกก๊าซเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ก.ค.-ก.ย. 2565 แบ่งเป็น 

1.) กำไรจากการกลั่นน้ำมันดีเซลเดือนละประมาณ 5 – 6 พันล้านบาท โดยเงินส่วนนี้จะส่งเข้าสู่กองทุนน้ำมัน 

2.) กำไรจากการกลั่นน้ำมันเบนซินเดือนละ 1 พันล้านบาท เพื่อไปชดเชยให้กับผู้ใช้เบนซิน โดยลดราคาน้ำมันเบนซินให้ผู้ใช้ 1 บาทต่อลิตร 

3.) กำไรของโรงแยกก๊าซเดือนละประมาณ 1,500 ล้านบาท นำส่งเข้ากองทุนน้ำมัน

ส่องอนาคตหุ้นพลังงาน “ต้นน้ำ”รุ่ง - “โรงกลั่น”อ่วม! เฉือนกำไรเข้ารัฐ

นอกจากนี้ ยังมีการคลอด 5 มาตรการดูแลพลังงานชุดใหม่ ประกอบด้วย 1.) ขยายเวลาผลิตน้ำมันดีเซล B5 ถึง 30 ก.ย. นี้

2.) ขอความร่วมมือผู้ค้าคงค่าการตลาดน้ำมันดีเซลไม่เกิน 1.40 บาทต่อลิตร

3.) เพิ่มเงินซื้อก๊าซหุงต้มให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 100 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน ไปถึง ก.ย. นี้

4.) ให้ปตท. ขยายเวลาให้ส่วนลดราคาก๊าซหุงต้มกลุ่มร้านอาหาร หาบเร่ แผงลอย ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถึง ก.ย. นี้

5.) ให้ปตท. คงราคาขายปลีกเอ็นจีวีที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม และกลุ่มรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการลมหายใจเดียวกันที่ 13.62 บาทต่อกิโลกรัม

ด้านบล.เคทีบีเอสที ระบุว่า คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มพลังงาน “เท่ากับตลาด” หรือ Neutral โดยกลุ่มพลังงานต้นน้ำได้แรงหนุนจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นจากภาวะอุปทานตึงตัวซึ่งจะหนุนให้ราคาขายเฉลี่ยดีขึ้น

ส่วนกลุ่มโรงกลั่นจะได้ประโยชน์จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและน้ำมันดิบ (crack spread) ที่แข็งแกร่งสูงเป็นประวัติการณ์ จากภาวะอุปทานขาดแคลนและปริมาณสำรองที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ผลักดันให้ค่าการกลั่นตลาด (Market GRM) ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งอาจรับรู้กำไรจากสต๊อกน้ำมันตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากความเป็นไปได้ในการเข้ามาแทรกแซงค่าการกลั่นของรัฐบาล จึงแนะนำให้นักลงทุนรอความชัดเจนก่อนจะตัดสินใจลงทุนกลุ่มโรงกลั่น เบื้องต้นประเมินว่าทุกๆ 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ที่ Market GRM ลดลงในช่วงครึ่งหลังปี 2565 จะส่งผลต่อกำไรกลุ่มโรงกลั่นปี 2565 ประมาณ 5-6%

โดยมองว่ากลุ่มพลังงานต้นน้ำยังน่าสนใจ แนะนำ PTTEP และ BANPU จากระดับราคาพลังงานที่ยืนสูงต่อเนื่องจากผลกระทบของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน

ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า การขอให้ผู้ประกอบการคงค่าการตลาดจะส่งผลต่อผู้จัดจำหน่ายน้ำมัน เช่น OR, PTG โดยเฉพาะหากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นไปอีก ส่วนกรณีที่ PTT ต้องคงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ยิ่งเสี่ยงที่จะขาดทุน

ฝ่ายวิจัยยังคงน้ำหนักลงทุนหุ้นพลังงาน “มากกว่าตลาด” หรือ Overweight เนื่องจาก 1.) Valuation ยังไม่แพง โดยมี P/E ปีนี้ที่ 15 เท่า ต่ำกว่า SET ที่ 19 เท่า 2.) อุปสงส์น้ำมันปีนี้ฟื้นตัว โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน 3.) อุปทานตึงตัวหลังเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน 4.) ค่าการกลั่นยังสูงมาก

โดยมีหุ้น Top pick ได้แก่ PTTEP ซึ่งในระยะสั้นอาจลงมาให้สะสม เพราะราคาน้ำมันช่วงนี้เริ่มอ่อนตัวลง หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยสูง