KBank Private Banking แนะจัดพอร์ต เน้นกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์

KBank Private Banking แนะจัดพอร์ต เน้นกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์

KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier พันธมิตรทางธุรกิจ เศรษฐกิจโลกในครึ่งหลังของปี ได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นของสหรัฐ แนะจัดพอร์ต กระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เพิ่มน้ำหนักในหุ้น คุณค่าหุ้นจีน รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกท่ามกลางภาวะผันผวน

     นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีตลาดลงทุนมีความกังวลต่อเงินเฟ้อสหรัฐ ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะกดดันแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดให้เกิดขึ้นแบบรุนแรง และรวดเร็ว 

      ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ สงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครนได้ปะทุขึ้น ทำให้ตลาดกังวลต่อปัญหาการขาดแคลนน้ำมันดิบ และวัตถุดิบต่างๆ ส่งผลให้ราคาน้ำมันขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลกที่ทรงตัวในระดับสูงอยู่แล้วจึงทำให้ในช่วงกลางเดือนมีนาคม เฟด มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกตั้งแต่ปี 2561 ที่ 0.25% 

KBank Private Banking แนะจัดพอร์ต เน้นกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์          ซึ่งเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะ ล่าสุดเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐ ในเดือนพฤษภาคม ปรับขึ้นเกินกว่าที่ตลาดคาด โดยทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 40 ปี ที่ 8.6% เมื่อเทียบปีต่อปี จากราคาพลังงานที่กลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง

        หลังจากจีนผ่อนคลายล็อกดาวน์ทำให้ตลาดคาดว่าเฟด จะต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งทุกๆ เหตุการณ์สำคัญเหล่านี้ล่วนส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง จากการที่นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง และเข้าถือเงินสดมากขึ้น

 

       ด้าน นางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดการลงทุนในช่วงนี้ผันผวนกว่าปกติ ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ต่างๆ อยู่ในทิศทางขาลงจากข่าวร้าย ไม่ว่าจะเป็น อัตราเงินเฟ้อสหรัฐ ที่ยังคงปรับเพิ่มขึ้น 

      และยังไม่เข้าสู่แนวโน้มขาลงตามเป้าหมายของเฟด จากราคาพลังงาน และบริการที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้นโยบายการเงินมีทิศทางตึงตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

     โดยจากการประชุมครั้งล่าสุดในวันที่ 14-15 มิถุนายน ที่ผ่านมาเฟด ได้มีมติขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในครั้งเดียว เป็นไปตามตลาดคาด ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันของเฟด อยู่ที่ 1.5-1.75% 

      พร้อมทั้งส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่เร่งขึ้น โดยจะขึ้นดอกเบี้ยอีกทั้งหมด 1.75% ในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้ ทำให้ดอกเบี้ย ณ สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 3.4% มากกว่าเดิมที่ประเมินไว้ในการประชุมเดือนมีนาคม ที่ 1.9%

      ทั้งนี้ ด้านภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐ ยังคงฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ตลาดแรงงานยังคงตึงตัวโดยอัตราการว่างงานยังใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แม้จะเริ่มมีสัญญาณลบจากตลาดบ้านบ้าง หลังจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการซื้อทำให้ยอดขายบ้านลดลง

      ด้านจีนที่ค่อยๆ กลับมาเปิดประเทศอีกครั้งในแบบระมัดระวัง หลังยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงแสดงให้เห็นว่ามาตรการการล็อกดาวน์ได้ผล 

      อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนผู้ติดเชื้อในจีนจะลดลง แต่แนวโน้มผู้ติดเชื้อที่อื่นๆ ในเอเชีย อย่างฮ่องกง และเกาหลีใต้กลับเพิ่มขึ้น 

      ซึ่งอาจทำให้จีนต้องกลับมาใช้มาตรการ Zero COVID จนถึงไตรมาส 3 และถ้าหากจีนกลับมาล็อกดาวน์ก็จะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอีกครั้ง เช่นเดียวกันกับสงครามรัสเซีย – ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ก็ทำให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากการเผชิญปัญหาห่วงโซ่อุปทานเช่นกัน

      สำหรับความเป็นไปได้ต่อไปของสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย – ยูเครนที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจระดับมหภาคทั่วโลก 

      แบ่งเป็น 3 กรณี คือ 1) สงครามยืดเยื้อ กระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ความน่าจะเป็น: สูง ส่งผลให้ GDP โลกลดลง 1% 

      2) สงครามทวีความรุนแรงและรวดเร็ว เกิดความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ความน่าจะเป็น: ต่ำ ส่งผลให้ GDP โลก ลดลง 2% 

     3) ความขัดแย้งคลี่คลาย ความน่าจะเป็น: ต่ำกว่า ส่งผลให้ GDP โลก ลดลง 0.5%

      ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ Senior Managing Director, Private Banking Business Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 

       ซึ่งแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องนี้เข้าใกล้เกณฑ์หดตัว ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย อาจนำไปสู่ตลาดหมีหรือตลาดขาลง ในสภาวะเศรษฐกิจ และตลาดเช่นนี้ KBank Private Banking และ Lombard Odierยังคงเน้นย้ำกลยุทธ์การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง 

      โดยแนะนำให้ปรับกลยุทธ์ และสัดส่วนการลงทุนในประเภทสินทรัพย์สำหรับครึ่งปีหลัง 2565 ดังนี้

      KBank Private Banking แนะจัดพอร์ต เน้นกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์      

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในตอนท้ายว่า ธนาคารยังคงแนะนำกระจายการลงทุนในหลายๆ สินทรัพย์ผ่านกองทุนผสมเพื่อลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตลง 

      โดยกองทุนผสมอย่างK-ALLROAD Series ที่ได้เปิดตัวไปตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีขนาดของกองทุนรวมกว่า 6 พันล้านบาท

      ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า ด้วยสภาพตลาดการลงทุนในปัจจุบันธนาคารยังแนะนำให้ลูกค้ากระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น กองทุนหุ้นนอกตลาด (Private Equity Fund)

      ซึ่งกองทุนที่ธนาคารแนะนำสามารถสร้างผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนที่ดีให้กับพอร์ตลูกค้าได้สูงถึง 61.4%** และ 12.8%**

      นอกจากนี้ ตลอดครึ่งปีหลัง 2565 ธนาคารยังมีแผนที่จะแนะนำผลิตภัณฑ์ทางเลือกการลงทุนอื่น เช่น Sustainable Global Balanced (กองทุนผสมที่เน้นลงทุนแบบยั่งยืน), China Sustainable Equity(หุ้นจีนที่เป็น ธีมหุ้นยั่งยืน), Global Private Debt(ตราสารหนี้นอกตลาดทั่วโลก), Global Private Equity (กองทุนหุ้นนอกตลาดทั่วโลก), Hybrid Global Private Asset (สินทรัพย์นอกตลาด),

     และGlobal and Local Private Real Estate(อสังหาริมทรัพย์นอกตลาด), Quantitative Hedged Fund Strategy (กองทุน Hedge Fund ที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนด้วยกระบวนการคณิตศาสตร์และสถิติจากข้อมูลเชิงปริมาณ) และ Exotic Structured Note (หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงแบบต่างๆ) เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพื่อสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจให้กับพอร์ตการลงทุนของลูกค้าได้ในปี 2565 นี้

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์