STP เปิดเทรดวันแรกที่  20  บาท เหนือจอง 11.11 %

STP เปิดเทรดวันแรกที่  20  บาท เหนือจอง 11.11 %

STP เปิดเทรดวันแรกที่ 20  บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท หรือ 11.11 % จากราคาไอพีโอที่18 บาทต่อหุ้น  หวังนำเงินขยายโรงงาน-ลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ

บริษัท สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ จำกัด (มหาชน)หรือ  STP เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) เป็นวันแรกในวันนี้ (14 มิ.ย.65) โดยเปิดเทรดที่ 20  บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท หรือ 11.11 % จากราคาไอพีโอที่18 บาทต่อหุ้น 

ทั้งนี้ STP ประกอบธุรกิจรับพิมพ์บรรจุภัณฑ์กระดาษและสิ่งพิมพ์ทุกชนิด ด้วยระบบพิมพ์ออฟเซท (Offset Printing) บนกระดาษที่บริษัทจัดหา หรือพิมพ์บนกระดาษที่ลูกค้าจัดหามาเอง โดยเป็นผู้ให้บริการตั้งแต่การพัฒนาและออกแบบบรรจุภัณฑ์ การจัดทำเพลทที่มีคุณภาพสูง การพิมพ์งานสูงสุด 12 สี และมีบริการหลังพิมพ์ตามความต้องการของลูกค้า  เช่น การเคลือบยูวี การปั๊มฟอยล์ทองหรือฟอยล์เงิน การประกบลูกฟูก การไดคัท บริษัทมีกลุ่มลูกค้ารายใหญ่เป็นผู้ผลิตเพื่อการส่งออกในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มธุรกิจเวชภัณฑ์ และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อการอุปโภคทั่วไป

โดยในปี 2564 บริษัทมีโครงสร้างรายได้จากการผลิตบรรจุภัณฑ์ด้วยกระดาษที่บริษัทจัดหา 94% รายได้จากการให้บริการ 3% และรายได้อื่น 3% ปัจจุบันบริษัทมีที่ตั้งของโรงงานซึ่งเป็นที่เช่าระยะยาว 30 ปี ครบกำหนด 31 ส.ค. 2592 อยู่ที่อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี บนพื้นที่กว่า 25 ไร่ ด้วยขนาดกำลังการผลิตรวม 49.7 ล้านแผ่นพิมพ์ต่อปี

STP มีทุนชำระแล้ว 100 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 74.60 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 25.40 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 17.99 ล้านหุ้น  เสนอขายต่อนักลงทุนสถาบัน 2.50 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท 3.81 ล้านหุ้น

  และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัท 1.10 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 2 และ 6-7 มิถุนายน 2565 ในราคาหุ้นละ 18 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 457.20 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,800 ล้านบาท ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ประมาณ 15 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิ 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565) ซึ่งเท่ากับ 122.30 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.22 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้ลงทุนในการขยายโรงงานและลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ

 

STP มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO ได้แก่ กลุ่มครอบครัวโรจน์วงศ์จรัต ถือหุ้นรวม 74.60% บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีจากงบเฉพาะกิจการในแต่ละงวด หลังหักเงินสำรองตามกฎหมายและตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทฯ