Property Sector ปรับเงื่อนไขโครงการ “บ้านล้านหลัง”

Property Sector ปรับเงื่อนไขโครงการ “บ้านล้านหลัง”

ครม. เห็นชอบแก้เงื่อนไขเพดานมูลค่าทรัพย์สินในโครงการสินเชื่อ “บ้านล้านหลัง” จาก 1.2 ลบ. เป็น 1.5 ลบ. เมื่อวานนี้ เรามองผลกระทบจากการปรับเงื่อนไขต่อดีมานด์ในตลาดอสังหาฯและการขายสต็อกคงค้างมีไม่มากนัก

มาตรการดูเหมือนมุ่งเน้นเป็นการช่วยเหลือมากกว่าเพื่อการกระตุ้น เราคงมุมมอง เป็นกลาง ต่อกลุ่มอสังหาฯ โดยเลือก AP และ LH เป็นหุ้นเด่น

 

วงเงินสินเชื่อกว่า 50% ของโครงการมีการอนุมัติไปแล้ว

รัฐบาลเริ่มใช้มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ตั้งแต่ ต.ค. ปีที่แล้ว สำหรับโครงการ “บ้านล้านหลัง” เฟส 2 ด้วยวงเงินรวม 2 หมื่นลบ. มุ่งเน้นช่วยเหลือผู้มีรายได้ต่ำในการซื้อหรือสร้างอสังหาฯ มูลค่าทรัพย์สินไม่เกิน 1.2 ลบ. อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.99% ใน 4 ปีแรกและผ่อนชำระคงที่ 84 งวด ธอส.เปิดเผยว่าได้มีการอนุมัติสินเชื่อแล้วกว่า 12,000 ราย วงเงินรวมราว 1 หมื่นลบ. หรือ 50% ของวงเงินโครงการทั้งหมด ทั้งนี้โครงการ “บ้านล้านหลัง” เฟส 2 จะหมดอายุลงในสิ้นปีนี้

 

 

 

ครม. เพิ่มเพดานมูลค่าเพื่อให้ครอบคลุมตลาดมากขึ้น

อุปสรรคสำคัญของนโยบายนี้ คือ เพดานมูลค่าอสังหาฯ ในโครงการที่ถูกกำหนดให้ไม่เกิน 1.2 ลบ. ซึ่งครอบคลุมตลาดในสัดส่วนน้อยมาก ข้อมูลตลาดที่อยู่อาศัยจาก Agency for Real Estate (AREA) แสดงสัดส่วนของที่อยู่อาศัยมูลค่าต่ำกว่า 1 ลบ. คิดเป็นเพียง 3% ของซัพพลายใหม่ในปีที่ผ่านมา วานนี้ครม. ได้อนุมัติในการปรับเงื้อนไขมูลค่าเพดานสินทรัพย์ในโครงการสินเชื่อจาก 1.2 ลบ. เป็น 1.5 ลบ. แม้เราเชื่อว่าการปรับเงื่อนไขจะช่วยเพิ่มความครอบคลุมของมาตรการได้ดีขึ้น แต่เราไม่คิดว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯได้จริงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อราคาเฉลี่ยของโครงการเปิดใหม่ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 4.6 ลบ. ต่อหน่วย เราประเมินว่ารัฐบาลอาจต้องปรับเพดานราคาขึ้นให้ถึงระดับ 3 ลบ. เพื่อให้ครอบคลุม 50% ของตลาดหากต้องการเห็นนโยบายมีผลกระทบเชิงบวกมากขึ้น

 

ผลกระทบเล็กน้อยทั้งในฝั่งดีมานด์และการระบายสต็อก

ในแง่การช่วยระบายสต็อกคงค้าง เรามองว่าจะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยเนื่องจากมีปัจจุบันมีสต็อกคงค้างในตลาดมากกว่า 2 แสนหน่วย ซึ่งมีมูลค่ากว่า 8 แสนลบ. การปรับเงื่อนไขของโครงการบ้านล้านหลังอาจดูเป็นบวกต่อตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะต่อผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง เช่น PSH และ LPN แต่ด้วยทั้งวงเงินสินเชื่อที่ไม่มาก อีกทั้งครอบคลุมสัดส่วนน้อยของตลาด เราจึงมองว่าผลกระทบน้อยเกินไปที่จะช่วยอะไรได้ เราคงมุมมอง เป็นกลาง ต่อกลุ่มอสังหาฯ โดยมี AP และ LH เป็นหุ้นเด่น