สศช.จ่อถก แบงก์ชาติ กดเงินเฟ้อ หลังราคาน้ำมัน-พลังงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

สศช.มองเงินเฟ้อปีนี้สูงกว่ากรอบ 3% หลังราคาน้ำมัน-พลังงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เตรียมหารือ ธปท. - หน่วยงานศก.ดูผลกระทบ ชี้จำเป็นต้องอัดเงินช่วยลดค่าครองชีพเพื่อกดเงินเฟ้อ

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่าสถานการณ์เงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นมในขณะนี้เป็นผลมาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์ความไม่สงบในยุโรปที่ยังมีการสู้รบกันอย่างต่อเนื่องประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิดที่ทำให้ความต้องการใช้พลังงานในหลายประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในขณะนี้ไม่เหมือนกับในอดีตที่ราคาเพิ่มขึ้นไปสูงแล้วค่อยๆปรับตัวลดลงในเวลาไม่นาน 
 ทั้งนี้ราคาน้ำมันในขณะนี้อยู่ในทิศทางขาขึ้นมานานคืออยู่ในระดับนี้มาแล้วกว่า 6 เดือนตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีการเพิ่มกำลังการผลิตจากกลุ่มโอเปกที่นำโดยซาอุดิอาระเบียจะมีการผลิตน้ำมันออกมาเพิ่มขึ้น 5 -6 แสนบาร์เรลต่อวัน

แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ราคาน้ำมันปรับลดลงเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกมีมากในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว
เมื่อถามว่าเงินเฟ้อเดือน พ.ค.ปีนี้ที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 7.1% จะทำให้เงินเฟ้อโดยรวมเกินกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงินที่มีการกำหนดไว้ที่ 1 – 3% หรือไม่ เขากล่าวว่าก็คงจะเกินส่วนจะอยู่ที่เท่าไหร่แน่ต้องหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อน โดยกระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในปีนี้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 5% 
“สิ่งที่ต้องทำก็คือต้องกดเงินเฟ้อที่สูงลงมา ซึ่งก็คือการลดค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายบางส่วนให้กับประชาชน โดยส่วนที่รัฐบาลจะออกมาเป็นมาตรการชุดใหม่ ก็คงต้องใช้เงินมาก แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องดูแลไม่เฟ้อสูงเกินไป ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องทำควบคู่ไปกับการหารือเรื่องขึ้นค่าแรงตามขั้นตอนและกลไกที่มีอยู่เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูง” 
เมื่อถามว่าทิศทางเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นหรือไม่ เขาตอบว่าเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยถือเป็นการตัดสินใจของ ธปท. แต่เชื่อว่า ธปท.จะพิจารณาอย่างรอบครอบเพราะในปัจจุบันหลายภาคส่วนในเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และบางภาคเศรษฐกิจถือว่ายังคงฟื้นตัวแบบช้าๆและมีความเปราะบางอยู่มาก