เทียบฟอร์ม 3 หุ้นโรงแรม "ERW-CENTEL-MINT" รับโควิดเป็นโรคประจำถิ่น

เทียบฟอร์ม 3 หุ้นโรงแรม "ERW-CENTEL-MINT" รับโควิดเป็นโรคประจำถิ่น

หลังประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 มานานกว่า 2 ปี ในที่สุดใกล้ถึงวันที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ ซึ่งตามกำหนดการเดิม ศบค. ตั้งเป้าที่จะให้โควิด-19 เป็น “โรคประจำถิ่น” ในวันที่ 1 ก.ค. นี้

แต่เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตลดลงต่อเนื่อง ทำให้ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขออกมาแย้มข่าวดี จ่อประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นเร็วขึ้นกว่าเดิมครึ่งเดือน หรือ ในช่วงกลางเดือนมิ.ย. นี้ 

เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างกำลังกลับสู่ภาวะปกติ ทำให้บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวคึกคักขึ้นทันตาเห็น เพราะตั้งแต่ยกเลิกมาตรการ Test & Go ไม่ต้องตรวจโควิด-19 เมื่อ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นทันที 

ส่วนตลาดไทยเที่ยวไทยคึกคักไม่แพ้กัน กลายเป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นกลุ่มโรงแรมและการท่องเที่ยว เชื่อว่าผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ดูได้จากงวดล่าสุดไตรมาส 1 ปี 2565 ฟื้นตัวชัดเจน

เทียบฟอร์ม 3 หุ้นโรงแรม "ERW-CENTEL-MINT" รับโควิดเป็นโรคประจำถิ่น

โดยบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ซึ่งมีเครือข่ายโรงแรมครอบคลุมทุกระดับ ตั้งแต่ราคาประหยัดไปถึง 5 ดาว รวม 75 แห่ง จำนวนห้องพักทั้งหมด 9,930 ห้อง ผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิลดลงเหลือ 313 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 492 ล้านบาท

โดยมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 638 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69% จากงวดปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน ตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก หลังสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น หนุนอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมในประเทศไทยเพิ่มเป็น 46% จากสิ้นปีก่อนที่ 42% และไตรมาส 1 ปี 2564 ที่ 30%

ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเติบโตแรง 100% อยู่ที่ 494 บาทต่อคืน เทียบกับช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 ที่ 247 บาทต่อคืน โดยไตรมาสนี้ มีการเปิดตัวโรงแรมใหม่ ฮ็อป อินน์ 2 แห่ง ที่จังหวัดน่าน 61 ห้อง และชัยภูมิ 62 ห้อง

ส่วนอัตราการเข้าพักในฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นเช่นกันอยู่ที่ 51% เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2564 ที่ 39% ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเพิ่มเป็น 473 บาทต่อคืน จากช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 ที่ 313 บาทต่อคืน

บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL เห็นสัญญาณการฟื้นตัวทั้งกลุ่มธุรกิจอาหารและโรงแรม หนุนผลประกอบการไตรมาสแรกของปีขาดทุนลดลงเหลือ 43.69 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนถึง 475.72 ล้านบาท

โดยธุรกิจโรงแรมมีรายได้รวม 1,249 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 149% จากช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 ปัจจุบันมีโรงแรมภายใต้การบริหารงานทั้งสิ้น 89 โรงแรม รวม 18,751 ห้อง แบ่งเป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 47 โรงแรม รวม 9,481 ห้อง โดยเป็นโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของ 19 โรงแรม รวม 5,050 ห้อง และที่รับบริหาร 28 โรงแรม รวม 4,431 ห้อง รวมทั้งยังมีโรงแรมที่กำลังพัฒนาอีก 42 โรงแรม 9,270 ห้อง

สำหรับโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของมีอัตราการเข้าพักเพิ่มเป็น 35% จาก 14% ในไตรมาส 1 ปี 2564 โดยมีราคาห้องพักเฉลี่ย 5,660 บาทต่อคืน จาก 4,886 บาทต่อคืน และรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย 1,957 บาทต่อคืน จาก 660 บาทต่อคืน

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ประเดิมงวดแรกของปีขาดทุนลดลงเหลือ 3,793.73 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนอยู่ 7,249.72 ล้านบาท เป็นไปตามการฟื้นของทั้ง 2 ธุรกิจ ทั้งร้านอาหารและโรงแรม

ธุรกิจโรงแรมมีโรงแรมที่บริษัทลงทุนเอง 369 แห่ง และมีโรงแรมและเซอร์วิส สวีท ที่รับจ้างบริหารอีก 158 แห่ง ใน 56 ประเทศ มีจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 75,805 ห้อง แบ่งเป็นห้องพักที่บริษัทลงทุนเองและเช่าบริการ 56,402 ห้อง และห้องพักที่บริษัทรับจ้างบริหาร 19,403 ห้อง

โดยจากห้องพักทั้งหมดเป็นห้องพักในประเทศไทย 5,220 ห้อง คิดเป็นสัดส่วน 7% และเป็นห้องพักในต่างประเทศ 70,585 ห้อง คิดเป็นสัดส่วน 93% ในอีก 55 ประเทศ ครอบคลุมทั่วทวีปเอเชีย โอเชียเนีย ยุโรป อเมริกา และแอฟริกา

โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มเป็น 43% เทียบกับช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 เพียงแค่ 21% ส่วนค่าห้องพักเพิ่มเป็น 4,290 บาทต่อคืน จาก 3,693 บาทต่อคืน และมีรายได้เฉลี่ยต่อห้อง 1,844 บาทต่อคืน จาก 774 บาทต่อคืน

ถือว่าเวลานี้หุ้นกลุ่มโรงแรมน่าสนใจทุกตัว เป็นปีแห่งการ “เทิร์นอะราวด์” ลุ้นพลิกกลับมามีกำไรอีกครั้ง หลังขาดทุนหนักๆ มา 2 ปีติด ส่วนจะลงทุนตัวไหน? ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละคน

ถ้าดูแค่ธุรกิจในประเทศ ERW ดูได้เปรียบ ส่วนหากอยากกระจายความเสี่ยง CENTEL และ MINT ดูโดดเด่นกว่า เพราะมีธุรกิจอาหารเป็นอีกรายได้หลัก แต่ถ้ามองเป็นภาพใหญ่ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งโลกกำลังกลับมาแล้ว MINT ดูมีภาษีมากที่สุด