'BIS' โชว์งบหลังเริ่มเทรด กำไรโตแรง 47% รุกขยายตลาดปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงครบวงจร

'BIS' โชว์งบหลังเริ่มเทรด กำไรโตแรง 47% รุกขยายตลาดปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงครบวงจร

"BIS" โชว์งบหลังเริ่มเทรด กำไรโตแรง 47% กวาดรายได้รวม 540 ล้านบาท ตั้งเป้าปีนี้รายได้โต 20%-25% รุกขยายธุรกิจปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร

บมจ.ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ หรือ BIS เผยผลประกอบการ Q1/65 รายได้รวม 540 ล้านบาท กำไรสุทธิ 17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% ประกาศรุกขยายตลาดทั้งปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง เพิ่มพันธมิตรธุรกิจ ร่วมงานวิจัยและพัฒนากับภาครัฐ เพื่อต่อยอดธุรกิจสู่การเป็นผู้นำด้านไบโอเทค ผู้บริหารมั่นใจ มองทิศทางรายได้เติบโตต่อเนื่อง

นายสัตวแพทย์ ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ จำกัด (มหาชน) หรือ "BIS" ผู้นำยา วัคซีน และเวชภัณฑ์สัตว์ เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/2565 มีรายได้รวม 540 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 429 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 26% และมีกำไรสุทธิ 17 ล้านบาท เติบโต 47% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.5 ล้านบาท ซึ่งผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก คือ

  1. กลุ่มยาและวัคซีนสัตว์  (Animal Health)
  2. กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสัตว์ (Nutrition) ซึ่งเติบโตสูง
  3. กลุ่มชุดตรวจโรคสัตว์ (Diagnostic)

ทั้ง 3 กลุ่มรวมกันสร้างรายได้ 65% ของรายได้รวม โดยเฉพาะชุดตรวจโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever : ASF) มีการเติบโตของรายได้เติบโตสูงสุด เพราะเป็นอุปกรณ์สำคัญในการควบคุมการแพร่กระจายของโรคนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์โดยตรง จึงมีความต้องการสูงจากกลุ่มฟาร์มสุกร นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์กลุ่มวัตถุดิบอาหารสัตว์ มีรายได้เติบโตสูงเช่นกัน

'BIS' โชว์งบหลังเริ่มเทรด กำไรโตแรง 47% รุกขยายตลาดปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงครบวงจร

สำหรับในปีนี้ BIS ตั้งเป้าสร้างผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ารายได้รวมจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20%-25% โดย รายได้หลักของบริษัทฯ มาจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำของอุตสาหกรรมอาหาร และรายได้บางส่วนจากธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงซึ่งมีการเติบโตสูง โดยบริษัทฯ พยายามที่จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้สูงขึ้น โดยในไตรมาสนี้ อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 17% เป็นอัตรากำไรสุทธิ 3.14% และสร้างอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ดี โดยล่าสุดอยู่ที่ 29% โดย BIS ใช้กลยุทธ์การผลิตสินค้าแบรนด์ของบริษัทฯ เองแทนการจ้างผลิต เพื่อเพิ่มรายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ วัตถุดิบอาหารสัตว์ และลงทุนเพิ่มเติมในการพัฒนาวัคซีนสำหรับ สัตว์เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ทดแทนการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศ และการเพิ่มสินค้าใหม่ที่ช่วยขยายตลาด

โดยในปีนี้ BIS ได้เซ็นสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายอาหารสุนัขระดับโลก แบรนด์ Pedigree แบรนด์ Cesar และอาหารแมว แบรนด์ Whiskas เป็นต้น ให้กับกลุ่ม บริษัท มาร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้ โดยมุ่งทำตลาดในกลุ่มโรงพยาบาลสัตว์ และคลินิครักษาสัตว์ทั่วประเทศกว่า 1,000 แห่ง และคาดว่าจะได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี  

ขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ยา วัคซีน และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์และสัตว์เลี้ยง มีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว จากการเปิดเมือง การท่องเที่ยว การจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ฟาร์มสุกร เริ่มฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการ ยา วัคซีน วิตามินและเสริมอาหาร ตลอดจนชุดตรวจโรคต่างๆ เพิ่มมากขึ้นตามจำนวนสุกร นอกจากนี้คาดว่าปีนี้ปริมาณการส่งออกอาหารเพิ่มมากขึ้นประมาณ 20% เป็น 1,200,000 ตัน ทำให้ BIS ซึ่งอยู่ในห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมอาหารได้รับประโยชน์โดยตรง สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทุกคนที่ให้ความสนใจในหุ้น BIS ซึ่งเริ่มเข้าเริ่มซื้อขายเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ เป็นอย่างสูง โดยคณะกรรมการและผู้บริหารมีความมุ่งมั่นตั้งใจจะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นทุกราย” นายสัตวแพทย์ ธนวัฒน์ กล่าว

BIS มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมวัคซีนสัตว์ เพื่อป้องกันโรค โดยร่วมมือกับนักวิจัยจากสถาบันวิจัยชั้นนำของประเทศอาทิ สวทช. ศูนย์ไบโอเท็ค มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และยังพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยโรคในสัตว์และในมนุษย์ ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างจุดแข็งเดิมด้านการเป็นผู้นำเข้าวัคซีน ยา เวชภัณฑ์ระดับโลก จากกลุ่มผู้ผลิตยาหลายกลุ่ม การมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ทั่วประเทศในอุตสาหกรรมอาหารของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกอาหารสูงติดอันดับโลก และความสำเร็จในการสร้างสรรค์ นวัตกรรม ที่สามารถแก้ปัญหาด้านสุขอนามัยของโลก เช่น การผลิตชุดตรวจโควิด-19 แบบ Real time PCR ซึ่งเป็นผู้ผลิตไทยรายแรกที่กระทรวงสาธารณสุขรับรองมาตรฐาน  และการผลิตชุดตรวจโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร หรือ ASF ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างสูง มียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง