BM คาดการณ์รายได้และกำไรสุทธิปี 65 เติบโต 15% และ 12% ตามลำดับ

BM คาดการณ์รายได้และกำไรสุทธิปี 65  เติบโต 15% และ 12% ตามลำดับ

ผลกระทบจากราคาเหล็กที่ปรับเพิ่มขึ้นกดดันกำไร 4Q64 และทั้งปี 64 ต่ำกว่าคาด : งวด 4Q64 มีรายได้เท่ากับ 322 ลบ. +33%QoQ, -0.5%YoY ใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ที่ 332 ลบ.

แต่เนื่องจากต้นทุนเหล็กที่เป็นวัตถุดิบหลักที่ยังอยู่ในระดับสูง (ต้นทุนวัตถุดิบรวมใน 4Q64 คิดเป็น 81.2% ของต้นทุนขายเทียบกับ 77% ทั้งปี 64) โดยราคาเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก +25%YoY,+0.4%QoQ (ที่มา : “ดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐานไตรมาส 4 ปี 2564” REIC Research Report)  ในขณะที่มีงานบางส่วนยังไม่ได้ปรับขึ้นราคาขายเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายพิเศษในการซ่อมแซมเครื่องจักรส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นเหลือเพียง 11.1% เทียบกับช่วง 4Q63 และ 3Q64 ที่ 20.2% และ 26.7% ตามลำดับ ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ 31.3 ลบ. คิดเป็น%SG&A/Sales ระดับ 9.6% ปรับตัวดีขึ้น QoQ, YoY ที่ระดับ 11.7% ใน 3Q64 และ 12.4% ใน 4Q63 ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 2.4 ลบ. -93%QoQ, -86%YoY ต่ำกว่าคาดมากที่ 32 ลบ. หรือต่ำกว่าคาด 93% ส่งผลให้ปี 64 บริษัทมีรายได้จากการขายที่ 1,121 ลบ. +13%YoY ใกล้เคียงเราคาดที่ 1,301 ลบ. อัตรากำไรขั้นต้นที่ 17.8% ปรับตัวลดลงจากปี 63 ที่ระดับ 18.3% และต่ำกว่าที่เราคาดไว้ที่ 21.2% มาจากต้นทุนหลักอย่างราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 74 ลบ. เติบโต 31.8%YoY แต่ต่ำกว่าคาด 85.3% 
 

 

•    คาดการณ์กำไรงวด 1Q65 เติบโต YoY แต่ลดลง QoQ : ฝ่ายวิจัยประมาณการรายได้ งวด 1Q65 ราว 307-320 ลบ. เติบโตราว 10-15%YoY จากธุรกิจส่งออกหลังจากปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า ในช่วง 1Q65 ค่าเงินบาทประมาณ 33 บาท/เหรียญสหรัฐ เทียบกับ 31.2 บาท/เหรียญสหรัฐในงวด 1Q64 ขณะที่งานลูกค้ากลุ่มรับเหมาก่อสร้างทรงตัว คาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ 19.1% ส่งผลให้คาดการณ์กำไรราว 22-23 ลบ. เติบโต 58%YoY แต่ลดลง 33%QoQ

•    ปรับประมาณการกำไรปี 65 ลดลงจากเดิม 30.5% : เพื่อสะท้อนถึงราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ยังเพิ่มขึ้นโดยเห็นได้จากในช่วง 1Q65 ราคาเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กยังเพิ่มขึ้น 35%YoY และ 18.2%QoQ  (ที่มา : REIC Press Release 20 เม.ย. 65) ทำให้เราปรับลดคาดการณ์รายได้ในปี 65 ลดลงเหลือ 1,289 ลบ. เติบโต 15%YoYใกล้เคียงเดิมที่ 1,300 ลบ. โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากธุรกิจส่งออกที่เห็นแนวโน้มดีขึ้นจากปีก่อนหน้า เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ผ่อนคลาย เงินบาทอ่อนค่า และรายได้จากการผลิตชิ้นส่วน EV ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ขณะที่คาดว่าลูกค้าในกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะเติบโตเล็กน้อย โดยเรายังไม่ได้รวมรายได้จากการขายรถ EV Tuk Tuk ไว้ในประมาณการซึ่งเป็นอัพไซต์ต่อประมาณการรายได้ โดยคาดจะเห็นความชัดเจนในช่วง 2H65  เราจึงปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (%GPM) ลดลงเหลือ 18.3% จากเดิมคาดที่ 21.2% เนื่องจากราคาเหล็กที่ปรับเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร ขณะที่คาดการณ์อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (%SG&A/Sales) ที่ 11.7% ลดลงจากเดิมที่ 12.7% ส่งผลให้เราคาดกำไรในปี 65 ราว 82.8 ลบ. เติบโต 11.9%YoY คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 6.4% 

•    ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” ราคาเหมาะสมใหม่เป็น 5.22 บาท: ในการประเมินมูลค่าเหมาะสมซึ่งอิง Prospective PER ตามเดิมที่ระดับ 33.4x (P/E Band ย้อนหลัง 3 ปีที่ระดับค่าเฉลี่ย) ขณะที่ PER ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 36x โดยคาดกำไรต่อหุ้นปี 65 ราว 0.151 บาทลดลงจากเดิมที่คาด 0.197 บาท คำนวณเป็นราคาเหมาะสมใหม่ปี 65 เท่ากับ 5.22 บาทลดลงจากเดิมที่ 5.50 บาท ซึ่งมี upside จากราคาปิดราว 7.5% ซึ่งยังมีอัพไซต์จากรายได้ขายรถ EV เราจึงปรับคำแนะนำจาก “ซื้อ” เป็น “ซื้อเมื่ออ่อนตัว”

 

ปัจจัยเสี่ยง

i) การผันผวนของราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า โดยเฉพาะราคาเหล็กที่พุ่งขึ้นแรง
ii) การพึ่งพิงการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างของภาครัฐบาลและเอกชน
iii) การเพิ่มขึ้นของคู่แข่งขัน
iiii) การพึ่งพิงผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบเหล็กรายใหญ่