“ธุรกิจโรงแรม” ฟื้น ขานรับเปิดประเทศ หนุนนักท่องเที่ยวพุ่ง “ดับเบิ้ล”

“ธุรกิจโรงแรม” ฟื้น ขานรับเปิดประเทศ หนุนนักท่องเที่ยวพุ่ง “ดับเบิ้ล”

“ธุรกิจโรงแรม“ลุ้นผลดำเนินงานปีนี้ ฟื้น หลังรัฐบาลเปิดประเทศ-ผ่อนคลายมาตรการคุมโควิด ”เซ็นเทล" คาดอัตราเข้าพักแตะ 50 % หนุนปีนี้พลิกมีกำไร จากปีก่อนขาดทุน 1.73 พันล้าน “เอราวัณ” มั่นใจขาดทุนลดง

นายกันย์ ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงินและรองประธานฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL เปิดเผยว่า หลังจากเมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา ประเทศไทยประกาศเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 มากที่สุด นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาด และหากดูจากยอดจองห้องพักโรงแรมในเครือช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. 2565 ของกลุ่มโรงแรมในเครือเซ็นทารา พบว่ามีสัญญาณดีขึ้น แม้ว่ายังเป็นยอดจองที่ไม่สูงมาก เนื่องจากปกติช่วงไตรมาส 2 ของทุกปีจะเป็นช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว (โลซีซั่น) สะท้อนผ่านตัวเลขอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 36% ภูเก็ต 37% หัวหิน 39% กระบี่ 36% เกาะสมุย 31% เป็นต้น 

“แม้ยอดจองห้องพักไตรมาส 2 นี้ ยังไม่สูงมาก แต่เราเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวมากขึ้น สะท้อนผ่านเริ่มเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวตามโรงแรมมากขึ้น เชื่อว่าหากไทยมีการยกเลิกระบบThailand Pass คาดว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะกลับมาเป็นปกติเหมือนช่วงก่อนมีโควิด-19 ได้” 

ขณะที่บริษัทตั้งเป้ายอดอัตราการเข้าพักเฉลี่ยรวมทุกโรงแรมทั้งปี 2565 จะอยู่ที่ระดับ 40-50% จากช่วงไตรมาส 1 ปี 65 เฉลี่ยอยู่ระดับ 35% โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการที่ผ่อนคลายมากขึ้น และการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่กักตัวสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ

สำหรับปี 2565 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวม 18,000 ล้านบาท จากปีก่อนรายได้ 11,635 ล้านบาท และ คาดว่าจะพลิกมีกำไร จากปีก่อน 1,733 ล้านบาท  เนื่องจากการฟื้นตัวของทั้งธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารที่มีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น หลังจากธุรกิจอาหารผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วเมื่อไตรมาส 3 ปี 2564 โดยบริษัทตั้งเป้าธุรกิจโรงแรมมีรายได้ 5,900 ล้านบาท และธุรกิจอาหารตั้งเป้ารายได้ 12,000 ล้านบาท    

“ธุรกิจโรงแรม” ฟื้น ขานรับเปิดประเทศ หนุนนักท่องเที่ยวพุ่ง “ดับเบิ้ล” นอกจากนี้บริษัทเตรียมงบลงทุนปีนี้ 3,300-3,400 ล้านบาท แบ่งเป็นการใช้ในธุรกิจโรงแรมประมาณ 2,000 ล้านบาท อาทิ การก่อสร้างโรงแรมในมัลดีฟส์ ซึ่งจะเปิดให้บริการในปี2567-2568 และโรงแรมในโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เปิดให้บริการในปี 2566 มูลค่ารวมประมาณ 1,100 ล้านบาท และใช้ปรับปรุงโรงแรมในจังหวัดกระบี่-ภูเก็ตราว 900 ล้านบาท และงบลงทุนสำหรับธุรกิจอาหารอีกประมาณ 1,300-1,400 ล้านบาท

นางสาววรมน อิงคตานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW กล่าวว่า หลังจากไทยเปิดประเทศมากขึ้น ส่งผลให้ในช่วง 2 วัน (1-2 พ.ค.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยเพิ่มขึ้นเป็น “ดับเบิ้ล” จากเฉลี่ยเดือนเม.ย. ที่ผ่านมาอยู่ที่เฉลี่ยวันละ 10,000 คน กลายเป็นเฉลี่ยวันละ 20,000 คน และคาดว่าแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มมากขึ้นอีก ซึ่งต้องประเมินสถานการณ์กันอีกครั้ง 

“การเปิดประเทศและการผ่อนคลาย 1 พ.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวกลับมามากขึ้น เป็นตัวเลขดับเบิ้ลจากช่วงเดือนเม.ย. ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีของธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม โดยเราจะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศ สหรัฐ , สิงคโปร์ , อินเดีย เดินทางเข้ามาไทยเพิ่มมากขึ้น” 

 ขณะที่เป้าหมายรายได้ในปีนี้ บริษัทคาดว่าผลประกอบการขาดทุนลดลงจากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 2,050.22 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจเริ่มฟื้นตัว หลังจากแนวโน้มตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น ดังนั้น หากไม่มีสถานการณ์อะไรเข้ามาเพิ่มเติม คาดว่าจะเติบโตมากกว่าปีก่อนอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าปีนี้จะยังไม่กำไร เนื่องจากสถานการณ์การท่องเที่ยวยังไม่ได้กลับมาเหมือนกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 

ส่วนการขายโรงแรม 3 แห่ง ได้แก่ โรงแรมไอบิส สไตล์ กระบี่ , โรงแรมไอบิส กะตะ และโรงแรม ไอบิส หัวหิน ให้กับกลุ่มบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มูลค่า 1,050 ล้านบาท โดยกระบวกการซื้อขายเสร็จแล้วเมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่ผ่านมา คาดว่าเงินจากการขาย 3 โรงแรม จะนำไปชำระหนี้ และนำไปเป็นเงินทุนสำหรับขยายและพัฒนาโครงการในอนาคต ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินตามกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัทในการปรับพอร์ตการลงทุนโรงแรมที่มุ่งเน้นการลงทุนในกลุ่มโรงแรมบัดเจ็ทและเพิ่มสัดส่วนรายได้และกำไรที่เกิดจากฐานลูกค้าผู้ใช้บริการภายในประเทศ