ICHI ลุยเติบโตใน-ต่างประเทศ ดันยอดขาย 3 ปีแตะ “หมื่นล้าน”

ICHI ลุยเติบโตใน-ต่างประเทศ ดันยอดขาย 3 ปีแตะ “หมื่นล้าน”

"อิชิตัน" ปั้นยอดขายปี 2567 แตะ "หมื่นล้าน" หลังธุรกิจเติบโตทั้งใน-ต่างประเทศ ปีนี้ลุยออกสินค้าใหม่ หนุนรายได้ครึ่งปีหลัง พร้อมเล็งผนึกบริษัทอาหารรายใหญ่ระดับโลก ผุดผลิตภัณฑ์ใหม่พ.ค.นี้

“ตลาดชาเขียว” กลับมาเติบโตต่อเนื่องอีกครั้ง !! สะท้อนผ่านปี 2564 มีมูลค่าตลาดชาพร้อมดื่มอยู่ที่ 11,213 ล้านบาท เติบโต 3.96% ซึ่งแข็งแกร่งกว่ากลุ่มเครื่องดื่มโดยรวมที่ “หดตัว” และสัญญาณการขยายตัวต่อเนื่องมาในปี 2565 จากตลาดชาเขียวพร้อมดื่มใน 2 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.-ก.พ.) เติบโต 28% และ 20% ตามลำดับ จากการฟื้นตัวของการบริโภคในและต่างประเทศ และหนึ่งในเจ้าของผลิตภัณฑ์ชาเขียวพร้อมดื่มเบอร์ต้นๆ ของตลาดเมืองไทย อย่าง บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI ก็ได้รับปัจจัยบวกดังกล่าว...

สะท้อนผ่าน ตัวเลขผลประกอบการ 2 ปีย้อนหลัง (2563-2564) มีกำไรสุทธิ 515.53 ล้านบาท และ 546.77 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้ 5,107.96 ล้านบาท และ 5,250.77 ล้านบาท ตามลำดับ 

“ตัน ภาสกรนที” กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI ให้สัมภาษณ์พิเศษ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า สำหรับเป้าหมาย 3 ปีข้างหน้า (2567) บริษัทคาดว่าจะมียอดขายระดับ “หมื่นล้าน” จากปี 2565 ที่ตั้งเป้ายอดขาย 6,500 ล้านบาท เติบโต 24% จากปีก่อน เนื่องจากปัจจุบันยังมีกำลังการผลิตรองรับอีก 50% ดังนั้น บริษัทยังมีกำลังผลิตเพียงพอรองรับยอดขายหมื่นล้านบาทได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตใหม่ 

“หากเรามียอดขายแตะหมื่นล้านบาท จึงจะพิจารณาลงทุนกำลังการผลิตใหม่ แต่กำลังผลิตในปัจจุบันสามารถรองรับไปได้อีก 3 ปีข้างหน้า” 

ขณะที่แผนธุรกิจในปี 2565 บริษัทมีเป้าหมายเน้นการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะใน “กลุ่มสินค้าชาพร้อมดื่ม” ที่ปัจจุบันมีอัตราการเติบโตรวดเร็ว และสนับสนุนด้วย “กลุ่มสินค้าเครื่องดื่ม Non-Tea” จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดดมากขึ้น เนื่องจากแนวโน้มตลาดชาพร้อมดื่มทั้งในและต่างประเทศยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน แม้ว่าจะยังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ตาม

สอดรับในปีนี้บริษัทแผนจะมีการออกสินค้ากลุ่มเครื่องดื่ม Non-Tea จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมามากขึ้น ได้แก่ สินค้ากลุ่มเครื่องดื่มผสมสารกัญชง (CBD) และสินค้าใหม่กลุ่มเครื่องดื่มอัดก๊าซ (CSD) คาดว่าจะออกสู่ตลาดในไตรมาส 2 ปี 2565 ซึ่งจะสนับสนุนยอดขายในครึ่งปีหลังให้เติบโต และจับกลุ่มลูกค้า GenZ รวมทั้งการผนึกกำลังกับการกลับมาของ “สินค้ากลุ่มไบเล่” และเครื่องดื่มอิชิตัน น้ำด่างอีกด้วย 

ICHI ลุยเติบโตใน-ต่างประเทศ ดันยอดขาย 3 ปีแตะ “หมื่นล้าน” ขณะที่ไตรมาส 2 ปี 2565 จะมีการ Collaboration กับบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ระดับโลกออกสินค้าร่วมกันในเดือนพ.ค. นี้ เพื่อสร้างประสบการณ์แปลกให้กับลูกค้า ส่วนธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) จ่อเซ็นสัญญากับลูกค้ารายใหม่เพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ราย โดยจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ จากปัจจุบันมีลูกค้าหลักอยู่ 2 ราย คือ บริษัท ไทยโคโคนัท และ คิง พาวเวอร์ สนับสนุนให้อัตราการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) มากขึ้น

เขา แจกแจงว่า สำหรับการเติบโต “ตลาดในประเทศ” แนวโน้มยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ที่บริษัทมียอดขายในประเทศเป็นตัวหลักที่เข้ามาหนุนผลการดำเนินงาน โดยบริษัทยังคงเดินหน้าทำการตลาดเพื่อผลักดันยอดขายต่อเนื่อง บ่งชี้ผ่านยังเห็นการเติบโตได้ดี ซึ่งในเดือนม.ค. 2565 ตลาดชาพร้อมดื่มในเมืองไทยเติบโตสูงถึง 28% เป็นปัจจัยบวกต่อยอดขายชาเขียว และภาพรวมยอดขายในไตรมาส 1 ปี 2565 ที่คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทตั้งเป้าเฉพาะยอดขายชาเขียวในประเทศในปีนี้อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท

นอกจากนั้น จากการกลับมาทำตลาดอีกครั้งของเครื่องดื่ม “ไบเล่” ที่กลับมาทำตลาดในราคาขวดละ 10 บาท โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายเครื่องดื่มไบเล่ปี 65 ประมาณ 100 ล้านบาท และจะมีเครื่องดื่มใหม่ที่ทยอยออกมาเพิ่มเติม เช่น ชาไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา ตั้งเป้ายอดขายไว้ 135 ล้านบาท และเครื่องดื่มผสมกัญชง คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนมิ.ย.2565 โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 200 ล้านบาท

ขณะที่ “ตลาดประเทศอินโดนีเซีย” บริษัทร่วมค้า อิชิตัน อินโดนีเซีย ทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ในปี2564 ที่ผ่านมา มียอดขายราว 1,080 ล้านบาท และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรมาที่อิชิตัน กรุ๊ป จำนวน 59 ล้านบาท เติบโตราว 111% จากปีก่อน และต่อเนื่องมาในช่วงต้นปีที่ผ่านมาตลาดเติบโตขึ้นค่อนข้างมาก จนส่งผลให้ยอดขายสินค้าของ ICHI สามารถทำ “สถิติสูงสุดใหม่” (New high) ได้ในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมา และยังมีโอกาสในการขยายตลาดอีกมาก โดยเฉพาะช่องทางร้านค้าทั่วไป (TT) ที่บริษัทจะเจาะตลาดให้มากขึ้น และจะเพิ่มสินค้าเครื่องดื่มใหม่เข้าไปจำหน่ายอีกหลายรายการในปีนี้

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายในอินโดนีเซียปีนี้ไว้ที่ 1,820 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน 1,400 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทรับรู้กำไรเข้ามาจากกิจการร่วมทุนประมาณ 75 ล้านบาทในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 55 ล้านบาทในปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในอินโดนีเซียเริ่มมีการฟื้นตัวดีขึ้น จากช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลขาดทุนตลอด และบริษัทยังใช้ฐานการผลิตจากผู้ผลิตท้องถิ่นในการผลิตขายในอินโดนีเซีย ปัจจุบันมีโรงงานที่รับจ้างผลิตเครื่องดื่มให้กับบริษัท 2 ไลน์ผลิตหลัก และบริษัทจะมีการขยายตลาดส่งออกไปยังฟิลิปปินส์และบรูไนเพิ่มเติมในปีนี้อีกด้วย รวมทั้งบริษัทกำลังรอโรงงานเก่าที่รับจ้างผลิตสินค้าให้ที่ตอนนี้กำลังเพิ่มเครื่องจักรใหม่ ซึ่งกำลังคุยกันอยู่ในเรื่องของปริมาณการผลิตเพิ่มและราคาใหม่ เนื่องจากตลาดอินโดนีเซียสินค้าประเภท “ชานม” เติบโตมาก 

ทั้งนี้ บริษัทยังจะไม่รีบตัดสินใจลงทุนตั้งโรงงานผลิตในอินโดนีเซีย แม้ว่าจะมีที่ดินเตรียมพร้อมรองรับการก่อสร้างโรงงานอยู่แล้วก็ตาม และยอดขายในอินโดนีเซียแตะ “พันล้านบาท” ตามเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ แต่ขณะนี้โรงงานที่รับจ้างผลิตเครื่องดื่มให้กับบริษัทยังมีกำลังการผลิตเพียงพอ ทำให้ยังไม่มีความจำเป็นในการลงทุนก่อสร้างโรงงานเอง ดังนั้น บริษัทจึงได้ขยับเพิ่มเป้าหมายยอดขายเป็น 2,500 ล้านบาทก่อนถึงจะตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงาน 

ด้านต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมีผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่ง ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนไปตามสัญญาของบริษัทขนส่งที่บริษัทใช้บริการ โดยบริษัททำสัญญากับผู้ให้บริการขนส่งทุกๆ 6 เดือน และปัจจุบันต้นทุนการขนส่งในสัญญาใหม่เพิ่มขึ้น บริษัทจึงได้ปรับเพิ่มราคาขายส่งกับร้านค้า 2 บาทต่อลัง ซึ่งกระทบต่อกำไรของร้านค้าที่ซื้อสินค้าของบริษัทเล็กน้อยราว 1 บาท แต่ยืนยันว่าไม่กระทบต่อราคาขายปลีกที่ขายให้กับลูกค้า

สำหรับการเข้าไปถือหุ้นใน บริษัท พรีดิกทิฟ จำกัด (Predictive) ในสัดส่วน 25% นั้น เพื่อเป็นการรองรับการทำการตลาดยุคดิจิทัล โดยนำ “ข้อมูล” (Big Data) มาใช้เป็นหัวใจขับเคลื่อนการตลาดเชิงวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภค โดย Predictive มีความเชี่ยวชาญด้าน Data Tech มีผลการดำเนินงานที่ดี อีกทั้งบริษัทแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2567 

ท้ายสุด “ตัน” บอกไว้ว่า ในปี 2565 อิชิตันมุ่งมั่นเดินหน้าเติบโตภายใต้กลยุทธ์ 3N (New Product, New Market และ New Business) เชื่อจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนผลประกอบการให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในอนาคต