กรมโรงงาน เผยภาวการณ์ลงทุนครึ่งแรกปี 65 เงินลงทุนลดเกือบ 45%

กรมโรงงาน เผยภาวการณ์ลงทุนครึ่งแรกปี 65 เงินลงทุนลดเกือบ 45%

กรอ. เผยผลงาน 6 เดือน ปีงบประมาณ 2565 ยอดตั้งโรงงานใหม่อยู่ที่ 1,110 โรง ลดลง 9.76% ขณะที่เงินลงทุนลดลง 44.7% อยู่ที่ 56,354 ล้านบาท ช่วงครึ่งปีหลังเร่งดำเนินนโยบายเดิมย้ำบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ตั้งเป้ายอดจดจำนองเครื่องจักรเกิน 2 แสนล้านบาท หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ

วันที่ 22 เม.ย. 2565 นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ยอดตั้งโรงงานใหม่ 1,110 โรงงาน ลดลง 9.76% เงินลงทุน 56,354.19 ล้านบาท ลดลง 44.7% การจ้างงาน 31,330 คน ลดลง 14.49% เป็นผลจากการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน และสถานการณ์สงครามที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก 

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการประกอบกิจการใหม่สูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร แปรรูปไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ และผลิตภัณฑ์โลหะ ตามลำดับ 

อย่างไรก็ตาม ส่วนของการขยายโรงงานมีจำนวน 152 โรงงาน เงินลงทุน 41,510.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.41 % การจ้างงาน 37,550 คน เพิ่มขึ้น 52.02 % ขณะเดียวกันมีการเลิกประกอบกิจการลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จำนวน 361 โรงงาน ลดลง 8.38% เงินลงทุน จำนวน 21,427.65 ล้านบาท ลดลง 4.57% เลิกจ้างงาน 12,172 คน ลดลง 8.74% สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ด้วยทิศทางผลกระทบของวิกฤตการณ์โควิด-19 มีแนวโน้มคลี่คลาย

"แม้ยอดตั้งโรงงานใหม่จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่คาดว่าแนวโน้มการลงทุนจะเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 เพราะสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง อีกทั้งไทยยังมีมาตรการภาครัฐสนับสนุนการลงทุน ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการทางการเงินและการคลัง จึงคาดว่าในปีนี้ยอดตั้งโรงงานแห่งใหม่และขยายกิจการโรงงานตลอดทั้งปีน่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา แต่ยังคงต้องเฝ้าจับตา ผลกระทบสงคราม อย่างระมัดระวัง"
 

เดินหน้าภารกิจปี 2565

สำหรับภารกิจเร่งด่วนที่ กรอ. ได้ตั้งเป้าไว้ในปีงบประมาณ 2565 จะดำเนินการต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบด้วย

1.ด้านการบังคับใช้กฎหมาย ได้มีการออกมาตราการทางกฎหมาย เพื่อดูแลด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยกว่า 30 ฉบับ โดยมีผลบังคับใช้แล้ว 9 ฉบับ และอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อรอประกาศบังคับใช้อีกกว่า 20 ฉบับ เช่น การเพิ่มโทษผู้ลักลอบทิ้งกาก หรือแอบปล่อยน้ำเสียโดยไม่ทำการบำบัด การทำรายงานประเมินความเสี่ยงสำหรับโรงงานที่มีความเสี่ยงสูง การแสดง ข้อมูลโรงงานบริเวณหน้าโรงงานผ่าน QR code เป็นต้น

โดยได้สั่งดำเนินคดีกับโรงงานที่ไม่รายงานการรับหรือนำกากออกนอกโรงงานกว่า 4 หมื่นราย รวมทั้งโรงงานที่ไม่ทำรายงานประเมินความเสี่ยงอีกกว่า 700 โรงงาน 

2. ด้านการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมให้เข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดย กรอ.นำระบบจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ที่เรียกว่า E-fully Manifest มาใช้ในการกำกับดูแลสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ต้นน้ำไปยังปลายน้ำครบวงจร ทำให้สามารถสามารถติดตามรถขนส่งสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วในระบบ E-fully Manifest ได้แบบเรียลไทม์

โดยหลังจากเปิดใช้งานระบบไปเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2564 การบำบัด กำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วเข้าสู่ระบบมากขึ้น โดย 2 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค. 64 - มี.ค. 65) ของเสียอันตรายเข้าสู่ระบบ 0.79 ล้านตัน ของเสียไม่อันตรายเข้าสู่ระบบ 10.8 ล้านตัน

นอกจากนี้้ กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความเห็นชอบให้โรงงาน 9 ราย กําจัดมูลฝอยติดเชื้อภายใต้สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 โดยให้นํามูลฝอยติดเชื้อมาเป็นเชื้อเพลิงในเตาเผาของโรงงานเป็นการชั่วคราว เป็นการสนับสนุนให้สามารถนำมูลฝอยติดเชื้อไปกำจัดได้อย่างถูกวิธี

รวมทั้ง เพิ่มความสามารถในการรับมูลฝอยติดเชื้อไปกําจัดเพิ่มขึ้นเป็น 1,150 ตันต่อวัน ซึ่งเพียงพอต่อปริมาณที่เกิดขึ้น โดยมีการกําจัดมูลฝอยติดเชื้อรวมแล้วทั้งสิ้น 13,247.55 ตัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 65)

3. การช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านเงินทุน มีการสนับสนุนผู้ประกอบการในการจดทะเบียนจำนองเครื่องจักรโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน ซึ่งการจดทะเบียนจำนองเครื่องจักร ครึ่งปีแรกมีการจดทะเบียนจำนองเครื่องจักรแล้วมูลค่ารวมกว่า 1 แสนล้านบาท โดยตลอดทั้งปีตั้งเป้าให้มียอดเกิน 2 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น โดยร่วมมือกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย

4. ส่งเสริมการทำงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยนำไอทีมาพัฒนางานบริการและตรวจกำกับให้สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น มีระบบ POMS  ซึ่งเป็นระบบเฝ้าระวังการระบายมลพิษจากโรงงาน 24 ชั่วโมง รวม 359 โรงงาน คลอบคลุม 45 จังหวัดทั่วประเทศ สามารถตรวจสอบค่าการระบายมลพิษผ่านมือถือได้

นอกจากนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการไม่ต้องเดินทางมายื่นเอกสาร จึงมีการพัฒนาระบบขออนุญาตทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง อาทิ ระบบอนุญาตวัตถุอันตราย ณ จุดเดียว (HSSS) ระบบอนุญาตนำสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วออกนอกบริเวณโรงงาน (สก.2) ระบบจดทะเบียนเครื่องจักรออนไลน์

สำหรับระบบการขอรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ระดับที่ 1 - 5 ผ่านช่องทางออนไลน์ จะเริ่มดำเนินการ 1 พ.ค. 2565 อีกทั้งยังมีแผนพัฒนาระบบการอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้แล้วเสร็จภายในปีนี้อีกด้วย