บล.ดีบีเอสฯ มอง Q2 ตลาดผันผวนจากเงินเฟ้อ - ดอกเบี้ยขาขึ้นแต่คงเป้า 1,800 จุด

บล.ดีบีเอสฯ มอง Q2 ตลาดผันผวนจากเงินเฟ้อ - ดอกเบี้ยขาขึ้นแต่คงเป้า 1,800 จุด

บล.ดีบีเอสฯ ให้เป้าดัชนี 1,800 จุด ชูธีมการลงทุน “กลุ่มเมตาเวิร์ส - ธุรกิจที่รับประโยชน์จากรถยนต์ไฟฟ้า - กลุ่มเฮลท์แคร์ - กลุ่มที่ได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศ AOT MINT - PTT - GPSC - BH - CPALL และ ADVANCE

นายธนวัฒน์   ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ   บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวในหัวข้อ “DBS CIO Insight 2Q22 Anchor in the Storm” ว่า แม้เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบทางลบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงและเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัว และลดความเสี่ยงของภาวะอัตราเงินฝืดหรือ “stagflation” 

      ทั้งนี้ธนาคารดีบีเอส และฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นจีนเป็น “Overweight” หลังจากที่รัฐบาลประกาศนโยบายหนุนเศรษฐกิจ และหุ้นจีนราคาไม่แพงพร้อมกับแนะหุ้นกลุ่ม  “quality” และตราสารหนี้กลุ่ม Investment Grade ในประเทศพัฒนาแล้ว  โดยหุ้นที่เป็นธีมเด่นคือ กลุ่มเฮลท์แคร์(Healthcare)และการลงทุนทางเลือก เช่น โครงสร้างพื้นฐาน และทองคำ

ส่วนมุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจปี 2565  ประเมินว่า เงินเฟ้อสูงยัง สร้างแรงกดดันต่อธนาคารกลาง โดยฝ่ายวิจัย DBS คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 7 ครั้งในปี 2565 และธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB จะหยุดทำคิวอี 

        ทั้งนี้ธนาคารดีบีเอส และฝ่ายวิจัย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส คาดการณ์อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของไทยในปีนี้จะเติบโต 3.5% ส่วนปีหน้าจีดีพีขยายตัว 4.2%  ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกาประเมินว่าจีดีพีปีนี้โต 3% ส่วนปีหน้า 2%  ด้านประเทศจีนประเมินจีดีพีปีนี้ 5.3% ปีหน้า 5%  และประเทศในยุโรปจะมีอัตราการขยายตัวของจีดีพี 3% ขณะที่ปีหน้า 2.5%

       “เศรษฐกิจประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐ จีน ยุโรป อินเดีย จะเติบโตชะลอลงขณะที่ขณะที่เศรษฐกิจหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดรุนแรงของสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2564 จะฟื้นตัวเร่งขึ้นในปีนี้ เช่น ญี่ปุ่น กลุ่ม ASEAN หลายประเทศยกเว้นสิงคโปร์”

       อย่างไรก็ตามแม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะได้รับผลลบจากราคาน้ำมันสูง และเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อ  จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่คลี่คลาย และการฟื้นตัวของภาคบริการ เช่น การเดินทาง ท่องเที่ยวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัว

ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยน ประเมินค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ยังมีแนวโน้มแข็งขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และสถานการณ์ยูเครน ทำให้นักลงทุนโยกไปถือเงินดอลลาร์ซึ่ง เป็น safe haven ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ (Fed fund rate) จะเพิ่มขึ้นมาที่ 2.5% ในปลายปีนี้ และ 3.50% ในช่วงกลางปีหน้า หนุนโดยเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง

       สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง ประกอบด้วยความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาลเทคโนโลยี รวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม

       ด้าน นางสาว อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในปีนี้ยังคงยืนเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ระดับ 1800 จุดอิงกับค่าพีอี เรโช 18.9 เท่า

       โดยตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงสิ้นสุดวันที่ 12 เมษายน 2565 (YTD) นักลงทุนต่างชาติกลับมามียอดซื้อสุทธิ 1.1 แสนล้านบาท  จากช่วง 5 ปีย้อนหลัง คือ ปี 2560 - 2564 นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิทุกปี รวมขายสุทธิสะสมเท่ากับ 6.7 แสนล้านบาท

       ส่วนภาพรวมการลงทุนในไตรมาส 2/2565  นางสาวอาภาภรณ์ คาดว่า ดัชนีหุ้นยังผันผวน  โดยได้รับผลกระทบจาก  อัตราเงินเฟ้อที่สูงจากต้นทุนผลัก(Cost Push)ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)มีโอกาสปรับเพิ่มดอกเบี้ยอัตรา 0.5% ในการประชุม 3-4 พ.ค.นี้  สงครามรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมทั้งการขึ้นเครื่องหมาย XD หุ้นจำนวนมากในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. 

      ขณะที่โควิดยังแพร่ระบาดต่อเนื่อง และหนี้ภาคครัวเรือนสูง อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 2/2565 ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดเมือง เปิดประเทศ (Reopening)เงินสะพัดจาการหาเสียงเลือกตั้ง รวมถึงการที่ไทยได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนโดยตรงไม่มากนัก กลยุทธ์การลงทุน เน้นสร้างพอร์ตให้มีคุณภาพแข็งแกร่ง และเติบโตได้ยั่งยืนในระยะยาว โดยเลือกซื้อสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว

      สำหรับธีมการลงทุนในปีนี้ บล.ดีบีเอสฯ แนะนำเลือกลงทุน ธุรกิจในโลกอนาคต หรือเมตาเวิร์ส  ซึ่งถือเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังมาแรงทั่วโลก  ธุรกิจที่รับประโยชน์จากยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์(Healthcare)เนื่องจากสังคมสูงวัยที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ความต้องการสินค้า และบริการด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นกลุ่มธนาคาร และประกันที่ได้อานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น   กลุ่มสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รวมทั้งกลุ่มท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัว หากไม่มีโควิดสายพันธ์ุใหม่ที่รุนแรงเข้ามาเพิ่ม

       ด้าน นายสมบัติ  เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  บริษัทได้คัดสรรหลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากธีมการลงทุนเด่นในไตรมาส 2/65 โดยหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวฟื้นตัว แนะนำ  AOT ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 75 บาท จากการที่ประเทศไทย และทั่วโลกทยอยผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางเข้าประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจบริหารสนามบินกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว 

         ส่วนธุรกิจที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แนะนำ MINT ราคาเป้าหมาย 40 บาท  จากผลประกอบการพลิกกำไรในไตรมาส 4 ปี 64  เนื่องจากโรงแรมมีการเข้าพักมากขึ้นทั้งในไทย มัลดีฟส์ และยุโรป  โดยประเมินว่าการเดินทางจะกลับมาฟื้นตัวได้ตั้งแต่ ไตรมาส 1 ปี 2565 ขณะที่ NH Hotel เข้าสู่ High Season ในไตรมาส 2 ปี 2565  ซึ่งคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/65หรือ 2H65 จะมีกำไรกลับมาเท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19  

         ขณะที่ PTT  ยังเป็นหุ้นดีตามราคาน้ำมัน และ EV CAR ในอนาคต  แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 57.50 บาท ขณะที่ราคาน้ำมันดิบแข็งแกร่งจาก ปัจจัยสงครามรัสเซีย และยูเครน ปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ BRENT ทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2565 และ 2566 เพิ่มขึ้นจากเดิม 20% และ 15%

       นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลงทุนหุ้น GPSC โดยกำหนดราคาเป้าหมายที่หุ้นละ  90 บาท เนื่องจากได้รับผลดีจากอุปสงค์ไฟฟ้าฟื้นตัว และธุรกิจแบตเตอรี่รถ EV รวมทั้งยอดขายไฟฟ้า และไอน้ำเพิ่มตามดีมานด์ลูกค้าอุตสาหกรรมฟื้นตัว และในปี 2565 จะมีการทยอย บุ๊กส่วนแบ่งกำไรโซลาร์ฟาร์ม Avaada ในอินเดียที่ถือหุ้น 41.6% นอกจากนี้บริษัทยังจะมีการบันทึกกำไรขายโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นประมาณ 600 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2565

         ด้าน ADVANC ยังเป็นหุ้นโดดเด่นในกลุ่มเทคโนโลยี, Domestic Play ราคาเป้าหมาย 250 บาท เป็นอีกหุ้นที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจไทย เน้นธุรกิจในประเทศ ได้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการ TRUE-DTAC ทำให้สถานการณ์แข่งขันลดลง

         CPALL เป็นหุ้นที่คาดการณ์กำไรปีนี้โตโดดเด่น ราคาเป้าหมาย 75.25 บาท ปีนี้คาดกำไรเติบโต 81% และปี 2566 โตต่ออีก 21% ปัจจัยหนุนมาจากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ ปรับราคาสินค้าขึ้นตามเงินเฟ้อ, มีรายได้จาก Lotus มาเสริม มีแพลตฟอร์มการขายใหม่ๆ

        BH เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ และธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2564    แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 175 บาท โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาสแรก ปี 2565 จะเติบโตทั้ง YoY และQoQ และประมาณการว่ากำไรปี 2565 และปี 2566 เมื่อเทียบกับ YoY จะเติบโต+113%/+39% ตามลำดับโดยกำไรกลับไปสู่ระดับก่อนโควิดได้ในปี 2566 

        BEM โดดเด่นจากรถไฟฟ้า ทางด่วนฟื้นตัว แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 10 บาท แนวโน้มไตรมาส 1 ปี 2565 ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากปริมาณการใช้ทางด่วน-รถไฟฟ้าคาดว่ารายได้ปี 2565 โตดี 26%

      ด้าน นายสมนึก   จันทร์รัสมี ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีหุ้น ในส่วนของภาพหลัก “ไม่เปลี่ยน” โดยยังเป็น “ขาลง” ในระยะกลางดังนั้นทิศทางหลักจึงเป็น “การปรับตัวลง” หากจะมีการปรับขึ้นจะมีนัยสำคัญแค่การรีบาวด์ฯ ทางเทคนิคเท่านั้น เนื่องจากดัชนีหุ้นในช่วงที่ผ่านๆ มา ยังขาดแรงส่งในทางบวกหรือยังตกอยู่ใต้อิทธิพลด้านลบ(Overbought+Divergence)ด้วยปัจจัยดังกล่าว

      จะส่งผลให้ทิศทางตลาดฯ ในไตรมาส 2/2565 มีทิศทางของการอ่อนตัวลงโดยมี “แนวรับ(ย่อย)” ที่มีโอกาสถูกทดสอบจะอยู่ที่ระดับ 1640 ,1620 จุด หรืออาจถึง1600 – 1580 จุด

       สำหรับกลยุทธ์การเก็งกำไร กรณีดัชนีสูงกว่า 1700 จุด ให้เน้น “ซื้อค่าบวก” เพื่อลุ้น หรือ “รอขาย” ที่แนวต้าน 1710 – 1720, (1750) จุด แต่ถ้ากรณีดัชนีต่ำกว่า 1700 จุด, เน้น “ซื้ออ่อนตัว” ที่ 1640, 1620 หรือ1600 – 1580 จุด เพื่อลุ้น / รอขาย เมื่อมีการปรับขึ้นตามมา

      ขณะที่ นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)  กล่าวว่า มุมมอง SET50 ตลาดยังคงมีความเสี่ยงขาลง หากยังไม่สามารถกลับไปยืนเหนือ 1010 - 1015 ได้ ยังมีโอกาสที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการแกว่งตัวลงในระยะกลาง ลงทดสอบ 960 หรือต่ำกว่าได้ ต้องขึ้นไปยืนเหนือจึงจะยกเลิกมุมมองดังกล่าว เชิงปัจจัย

      การขึ้นดอกเบี้ยเร็วของเฟด และการลดขนาดงบดุลยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นในระยะกลางจนกว่าเราจะเห็นเงินเฟ้อพีค โดยในส่วนของการลดขนาดงบดุล ต้องติดตามว่าจะเป็นการปล่อยให้หมดอายุหรือขายออกมาในตลาด หากเป็นกรณีหลังจะกดดันตลาดได้สูง ส่วนประเด็นเรื่องยูเครน-รัสเซีย จุดเปลี่ยนที่สำคัญอยู่ที่ขอบเขตความขัดแย้งจะขยายตัวไปจนถึงสวีเดน-ฟินแลนด์ ที่จะเข้าร่วมนาโตหรือไม่ หากเข้าร่วมได้สำเร็จจะเป็นปัจจัยที่แพร่ขยายพื้นที่รบของสงครามได้ และเป็นความเสี่ยงสูงต่อตลาดหุ้น ส่วนจีนลด RRR เป็นบวกต่อตลาดได้ในระยะสั้น

      ส่วนทองคำ การปรับตัวลงมีแนวรับที่ไม่ควรต่ำกว่าที่ 1960/1915 จึงจะยังเป็นการแกว่งตัวขึ้น หากหลุดต่ำกว่าแนวรับสองจะพักฐานนานหรือจบรอบ ส่วนการขึ้นมีแนวต้านที่ 2010 กับ 2070 การทะลุ 2070 ได้จึงจะขึ้นรอบใหม่ มิฉะนั้นตอนนี้ยังแกว่งตัวในกรอบ

      ค่าเงินบาททิศทางค่าเงินบาท ระยะกลางหากทะลุ 34 บาทได้จะขึ้นหรืออ่อนค่ารอบใหม่ หากพักฐานต้องไม่หลุดต่ำกว่า 33.2 บาท จึงจะเป็นการแกว่งตัวขึ้นเพื่อทะลุ 34 โดยส่วนต่างดอกเบี้ยของไทยกับสหรัฐ ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี และการทำ QT จะส่งผลให้บาททิศหลักยังเป็นการอ่อนค่าต่อเนื่อง ตอนนี้แกว่งตัวเพื่อรอเบรกทะลุ 34 บาท หากยังไม่หลุด 33.2 บาท

 

 

พิสูจน์อักษร  โดย....สุรีย์   ศิลาวงษ์