“สิชล ยืนยัง” วิเคราะห์จุดเดือดสมรภูมิโลก 2569

“สิชล ยืนยัง” วิเคราะห์จุดเดือดสมรภูมิโลก 2569

โลกของเรากำลังหมุนเข้าสู่สงครามใหญ่ระหว่างกันเหมือนเมื่อ 90 ปีก่อน บรรยากาศของยุคที่มีผู้เข้มแข็งและมีอำนาจสูงล้ำอย่างทรัมป์ ปูติน และสี สร้างความหวาดหวั่นไปทั่วทุกมิติว่าจะเกิดการปะทะกันด้วยกำลังระหว่างยักษ์ใหญ่ต่างขั้วอำนาจ

ในความเป็นจริง แม้ว่าทั้งสามผู้ยิ่งใหญ่พยายามฉุดรั้งไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเต็มที่ เพราะไม่ต้องการให้เกิดการพังทลายของเศรษฐกิจโลก แต่การปะทะก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็น แนวรบที่มองไม่เห็นอย่างเช่น สงครามไซเบอร์

หรือการปฏิบัติการข่าวสาร ที่เล่นกันลับหลังอย่างเต็มที่ไม่มีกติกา และแนวรบที่ไม่เสียเลือดเนื้อแต่เสียน้ำตา อย่างเช่น การโจมตีตลาดทุน การคว่ำบาตรทางการค้า การห้ามโน่นบล็อคนี่ และอื่น ๆ 

แต่สิ่งที่น่ากังวลและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนนำทางไปสู่สงครามใหญ่แบบ All Out War ที่แท้จริงนั้นยังคงเป็นจุดที่เกิดการขัดกันด้วยอาวุธในสมรภูมิที่สำคัญของโลก

แน่นอนว่าสามยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา รัสเซียและจีน ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย บรรทัดต่อจากนี้ไปคือจุดอันตรายของจุดเดือดในปีหน้า ที่บางจุดก็เรื้อรังไม่ต่างจากเดิม แต่อันตรายมากขึ้น

มีหลายคนเชื่อว่าสงครามยูเครนที่ยืดเยื้อมา 4 ปีมีทีท่าว่าอาจจะจบลงในปีหน้าด้วยการที่ฝ่ายรัฐบาลเคียฟต้องยอมสยบให้ผู้รุกราน เพราะรัฐบาลวอชิงตันอาจไม่ช่วยเหลือด้านข่าวกรองและยุทโธปกรณ์อีกต่อไป

แต่ในความเป็นจริงแล้ว สงครามตัวแทนระหว่างโลกเสรีกับโลกอัตตาธิปไตย ณ ที่แห่งนี้จบลงยากมาก เพราะยูเครนยังคงมีศักยภาพและขวัญกำลังใจในการตอบโต้อย่างเต็มเปี่ยม  

สิ่งนี้จะทำให้สงครามยืดเยื้อต่อไปอีกหลายปีไม่ว่าเซเลนสกี้จะยอมรับข้อเสนอ “สันติภาพ”หรือไม่ ทรัมป์ที่พลิกการตัดสินใจไปมาอาจดูเหมือนว่าต้องการทำอย่างเช่นนิกสันทำในอดีต

คือดึงจีนคอมมิวนิสต์ออกจากอ้อมอกโซเวียต เพื่อที่จะทำทุ่มเทความสนใจไปยังเป้าหมายศัตรูหนึ่งเดียว นั้นยังไม่ชัดเจนว่าจะเดินเส้นทางนั้นจริง เพราะการที่เขาเป็นคนที่คิดหลากหลายและสามารถต่อรองได้นั้นคือความไม่แน่นอนที่สุดของตัวแปรทั้งหมดบนโลกนี้

สิ่งนี้เองที่จะทำให้สหรัฐอาจช่วยยูเครนต่อไป ขณะที่ยุโรปยังคงต้องสนับสนุนยูเครนอย่างเต็มที่เพื่อซื้อเวลาให้กองทัพของตนพร้อมที่สุดก่อนจะเปิดฉากรบกับรัสเซียในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ที่ร้อนขึ้นมาคือจีนจะบุกไต้หวันในปีนี้หรือไม่ หรือจะยังคงแสดงแสนยานุภาพข่มทั้งไต้หวันและญี่ปุ่นมากครั้งกว่าเดิมโดยยังไม่รบ การตอบโต้กับปรปักษ์ด้วยวาจาของจีนในประเด็นไต้หวันทุกดอกสร้างความวิตกว่าสงครามข้ามช่องแคบอาจเกิดได้ทุกเมื่อในยุคของสีก็จริง

แต่เมื่อคำนึงถึงเหตุผลหลายอย่าง โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจและความมั่นคงภายในของจีนเอง จีนน่าจะยังไม่พร้อมจะเปิดศึกกับฝ่ายใดนอกจากกดดันด้วยสงครามน้ำลาย  

ไต้หวันในยุคของไล่นั้นจะไม่ต่างจากยุคของไช่ คือแสดงตัวตนความเป็นไต้หวันมากขึ้นแต่ไม่ยอมเปลี่ยนสถานะ Status Quo โดยเด็ดขาด นั่นทำให้สงครามร้อนยังคงไม่เกิดขึ้น

ส่วนญี่ปุ่นนั้น แม้ว่ากำลังมุ่งหน้าสู่การเตรียมความพร้อมในการเผชิญหน้ากับรัฐบาลปักกิ่งอย่างเต็มตัว แต่ก็ยังไม่พร้อมชิงเปิดก่อน เพราะตราบใดที่พันธมิตรอย่างอเมริกายังอยู่ในยุคของทรัมป์

ญี่ปุ่นก็อาจไม่มีใครช่วยจริง ท่ามกลางดงพยัคฆ์อย่างจีน เกาหลีเหนือและรัสเซีย รัฐบาลโตเกียวคงต้องอดกลั้นอย่างสูงสุด

ปัญหาทะเลจีนใต้น่าจะยังคงอยู่แบบเดิม คือ โอกาสที่เรือจีนจะปะทะกับเรือเวียดนามและฟิลิปปินส์ในน่านน้ำอ้างสิทธิยังคงมีอยู่ต่อไป แต่จะไม่บานปลายเพราะทุกฝ่ายยังผูกพันกันด้วยเศรษฐกิจ 

สิ่งที่น่าจับตาของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็คือการขยายฐานที่มั่นทางทะเลของจีนมาทางตะวันตกของทะเลจีนใต้ รัฐบาลปักกิ่งอาจมีความกังขาในท่าทีของเขมรอยู่บ้างจากการพยายามนำอเมริกามาคานอำนาจจีน

แต่การควบรวมฐานทัพเรียมให้อยู่ในกำมือก็จะยังคงต้องเดินหน้าต่อไป เพราะกัมพูชายังคงเป็นหอกที่จีนยังสามารถใช้ได้ในการดีลด้านความมั่นคงกับอาเซียน 

ที่น่าจะคิดก็คือ จีนจะกุมบังเหียนความห้าวของเขมรในการก่อปัญหาให้เพื่อนบ้านไว้ได้อย่างไร ขณะที่ต้องกันไม่ให้อเมริกาเข้าใกล้เขมรไม่มากไปกว่าการซ้อมรบร่วมแค่บนโต๊ะยุทธการ มิฉะนั้น พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา อาจเป็นหนึ่งจุดเดือดของปี 2569

จุดเดือดอื่นในเอเชียคือเกาหลีเหนือที่คุกคามเพื่อนบ้านและท้าทายชายฝั่งตะวันตกของอเมริกานั้น เชื่อว่าปี 2569 น่าจะยังไม่ถึงกันรบกัน  เพราะรัฐบาลเกาหลีใต้ปัจจุบันใช้ไม้อ่อนกว่าเดิมกับระบอบคิมจองอึน ขณะที่ทรัมป์ไม่ให้ความสนใจกับปัญหาภัยคุกคามจากเปียงยางมากนัก

ไม่แน่ว่าอาจมีการนัดพบปะกันรอบสามอีกเสียด้วยซ้ำ ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีอาจคลายไป ขณะที่รัสเซียก็ยังไม่น่าที่จะกล้าเปิดศึกในฟากตะวันออกไกลกับญี่ปุ่น

ตะวันออกกลางยังคงเป็นจุดที่อาจเกิดความรุนแรงได้อีก การตอบโต้ด้วยจรวดและโดรนที่อิสราเอลต้องเจอจากทั้งฝั่งของเฮซบอเลาะห์ ฮามาส อิหร่านและฮูตี ยังคงมีอยู่ในปี 2569 

แม้กลุ่มที่กล่าวมาแล้วอ่อนแรงลงกว่าเดิมมาก  อเมริกาอาจเล่นงานเวเนซุเอลาหนักจนถึงขั้นนึกไม่ถึง เพื่อป้องปรามความกระด้างกระเดื่องของอเมริกาใต้  

ขณะที่การขยายตัวของกลุ่มติดอาวุธอิสลามในเอเชียใต้และแอฟริกานั้น ไม่มีประเทศใหญ่สนใจ ปล่อยให้ประเทศในภูมิภาคว่ากันไป  โศกนาฏกรรมต่อพลเรือนก็จะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว.