เรียนรู้ ข้อตกลงการค้าฉบับแรก US-UK หลังทรัมป์ขึ้นภาษี

วันพฤหัสฯ ที่แล้ว ทำเนียบขาวแถลงข่าวความสำเร็จการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหราชอาณาจักร
ซึ่งเป็นข้อตกลงแรก หลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศเมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่เปลี่ยนระเบียบการค้าโลกจากระบบพหุภาคีเป็นทวิภาคี ที่เงื่อนไขการค้าขายกับสหรัฐจะขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองกับสหรัฐเป็นสำคัญ
ทุกประเทศจึงรอดูรายละเอียดข้อตกลงนี้เพื่อประเมินทิศทางและแนวนโยบายการค้าของสหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นตอบรับในเชิงบวกเพราะแสดงถึงความคืบหน้าจากเดิมที่ความไม่แน่นอนมีมาก
บทความจึงจะวิเคราะห์ว่าเราเรียนรู้อะไรบ้างจากข้อตกลงการค้า US-UK เพื่อประโยชน์สำหรับการเจรจาของเรา นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
สหรัฐอเมริกากับสหราชอาณาจักรมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งยาวนานทั้งการค้า เศรษฐกิจ การเมืองและสังคม กลุ่มผู้บุกเบิกสหรัฐอเมริการุ่นแรกๆ ก็อพยพมาจากอังกฤษเมื่อ 400 ปีก่อน ทั้งสองสังคมจึงผูกพันกันมากทั้งเรื่องวัฒนธรรม
ค่านิยม และใช้ภาษาเดียวกัน ปัจจุบันสหรัฐเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร การค้าระหว่างสองประเทศมีมูลค่ากว่า 148 พันล้านดอลลาร์ปีที่แล้วและสหรัฐเกินดุลการค้ากับสหราชอาณาจักร
หลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีกับทั่วโลก สินค้านำเข้าจากสหราชอาณาจักรก็ถูกเก็บภาษีในอัตราทั่วไปร้อยละ 10 เช่นกัน แต่ไม่มีภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprical tariffs คืออัตราเท่ากับศูนย์เทียบกับไทยที่โดนภาษีนี้ในอัตราร้อยละ 36
ในการแถลงข่าว ประธานาธิบดีทรัมป์ยํ้าสองสามเรื่องที่จะสำคัญสำหรับการเจรจาของประเทศอื่นๆ
1.สหรัฐยึดความเท่าเทียมและความเป็นธรรม (Reciprocity and Fairness) เป็นหลักการสำคัญของนโยบายการค้าและการเจรจาการค้าของสหรัฐ
2.ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐกับสหราชอาณาจักรคือตัวอย่างของสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา หมายถึง รูปแบบและวิธีที่สหรัฐจะเจรจากับประเทศอื่นๆ
3.สิ่งที่ประกาศคือกรอบข้อตกลงกว้างๆ ที่รายละเอียดจะลงลึกในการหารือครั้งต่อๆ ไป
เท่าที่ประเมินจากรายละเอียดในการแถลงข่าว รวมถึงการวิเคราะห์ของตลาดการเงินและสื่อต่างประเทศ สรุปได้ว่า
การเจรจาของสหรัฐในเรื่องการค้าจะครอบคลุม 4 ประเด็นหลักคือ อัตราภาษี การเปิดตลาดหรือ Market access กระบวนการศุลกากรที่ถือเป็นมาตรการกีดกันทางการค้าที่สำคัญ และข้อยกเว้น หรือ Exemptions ซึ่งมีได้ตามความจำเป็นที่ต้องตกลงกัน โดยเหตุผลมุ่งไปที่ความมั่นคงและประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะได้ร่วมกัน
ในกรณีของข้อตกลงการค้า US-UK ที่เพิ่งสรุปไป สิ่งที่เราเรียนรู้จากข้อตกลงในทั้ง 4 ประเด็นคือ
1.อัตราภาษีร้อยละ 10 คืออัตราภาษีต่ำสุดที่สินค้าทุกประเภทจากทุกประเทศที่นำเข้าสหรัฐต้องเสีย ยกเว้นสินค้าที่การเจรจาระบุชัดเจนว่ายกเว้น และจะเป็นอัตราภาษีเดียวสําหรับสินค้านำเข้าจากประเทศนั้นในกรณีที่ประเทศไม่ต้องเสียภาษีต่างตอบแทน เช่น สหราชอาณาจักร
สำหรับสินค้านำเข้าสหรัฐที่ก่อนวันที่ 2 เมษายนต้องเสียภาษีในอัตราสูงเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมสหรัฐ เช่น รถยนต์ที่สหราชอาณาจักรเสียภาษีนำเข้าร้อยละ 27.5 และเหล็ก อัตราภาษีที่สูงสามารถลดเป็นร้อยละ 10 ได้แบบมีเงื่อนไข
เช่น รถยนต์ที่นำเข้าจากสหราชอาณาจักร ข้อตกลงกำหนดให้เสียภาษีในอัตราภาษีร้อยละ 10 ได้เฉพาะหนึ่งแสนคันแรกเท่ากับจำนวนรถยนต์ที่สหรัฐนำเข้าจากสหราชอาณาจักรปีที่แล้ว มากกว่านั้นต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 25
ชี้ว่าสหรัฐมุ่งใช้อัตราภาษีเดียวกับแต่ละประเทศ และพร้อมให้เวลาในการปรับตัว ทั้งประเทศผู้ผลิตและอุตสาหกรรมในประเทศ
2.การลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อเปิดตลาดหรือเพิ่ม market accessให้สินค้าจากสหรัฐสามารถเข้าไปขายในสหราชอาณาจักรได้ เช่น เนื้อวัว อาหาร ซึ่งที่ผ่านมาสินค้าจากสหรัฐมักถูกจำกัดด้วยมาตรการสาธารณสุข
การเปิดตลาดนี้สหรัฐพร้อมทำทั้งสองขาตามหลักความเท่าเทียม คือเปิดตลาดสหรัฐเองด้วย
สังเกตได้ว่าการเปิดตลาดโดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารและเกษตรเป็นเรื่องที่สหรัฐให้ความสำคัญส่วนหนึ่งเพราะเกษตรกรคือฐานเสียงที่สำคัญ
3.กระบวนการศุลกากร เป็นที่ทราบดีว่านี่คือเครื่องมือที่หลายประเทศใช้เป็นมาตรการกีดกันทางการค้า ข้อตกลงการค้าระหว่าง US-UK ก็ให้ความสำคัญเรื่องนี้แม้สหราชอาณาจักรจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีกระบวนการศุลกากรที่ทันสมัย
ชี้ถึงความสำคัญที่รัฐบาลทรัมป์ให้กับเรื่องนี้และที่ทรัมป์ต้องการเห็นคือกระบวนการศุลกากรที่รวดเร็ว โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม
4.ข้อยกเว้น ข้อตกลง US-UK ชี้ว่าสามารถมีข้อยกเว้นได้ในสินค้าบางประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าถ้ามีการตกลงร่วมกัน ในข้อตกลง US-UK ระบุข้อยกเว้นสินค้าที่ไม่ต้องเสียภาษีร้อยละ 10 คือนำเข้าได้ฟรีไม่ต้องเสียภาษีไว้ เช่น ชิ้นส่วนอุปกรณ์ เครื่องยนต์ที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมในสหรัฐ
ตัวอย่าง เช่น เครื่องยนต์ Roll-Royce ที่จะใช้ในการผลิตเครื่องบิน เช่น โบอิ้งในสหรัฐ แสดงว่า ข้อยกเว้นสามารถมีได้ถ้าเป็นประโยชน์ร่วมกันต่อทั้งสองประเทศทั้งเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคง
นี่คือตัวอย่างของสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ควรรู้ไว้เพื่อการเตรียมตัว แม้สาระหลักๆ จะไม่มีอะไรมาก คือเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็จะเป็นบรรทัดฐานให้กับการเจรจาที่จะมีกับประเทศอื่นๆ ต่อไป และที่อยากตั้งข้อสังเกต คือ
1.ข้อตกลงระหว่าง US-UK ยังไม่มีการลงนาม คือยังไม่เกิดขึ้นจริง และสามารถเปลี่ยนแปลงได้
2.ในข้อตกลง US-UK มุ่งแต่การค้าเฉพาะเรื่องสินค้าเป็นหลัก ไม่มีเรื่องการค้าด้านบริการ เช่น ภาษีร้อยละ 2 ที่สหราชอาณาจักรเก็บจากรายได้ของผู้ประกอบการในต่างประเทศที่ให้บริการธุรกิจแบบออนไลน์กับพลเมืองในสหราชอาณาจักร หรือ การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ
3.การเจรจากับประเทศอื่นๆ ที่จะมีตามมา สหรัฐคงมุ่งไปที่มิตรประเทศที่อัตราภาษีต่างตอบแทนเท่ากับศูนย์ คือเสียเพียงอัตราพื้นฐานร้อยละ 10 ก่อน เช่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ นิวซีแลนด์ ซึ่งผลน่าจะออกมาคล้ายๆ กัน ตามด้วย ประเทศพันธมิตรที่ต้องเสียภาษีต่างตอบแทนนอกเหนือจากอัตราทั่วไปที่ร้อยละ 10 เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
นี่คือสองประเทศที่เราควรต้องติดตามว่าผลจะออกมาอย่างไรเพื่อการเตรียมตัวของเรา.
คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์บัณฑิต
ดร.บัณฑิต นิจถาวร
ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล







