โคเปนเฮเกน ต้นแบบเมืองน่าอยู่มีความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ

โคเปนเฮเกน ต้นแบบเมืองน่าอยู่มีความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ

ทุกวันนี้เมืองยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการแสดงหาโอกาสในชีวิต แต่ในปัจจุบัน การใช้ชีวิตในเมืองไม่ดีมีแค่ความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังกลายเป็นความท้าทายที่มีความสำคัญด้วยเช่นกัน ความน่าอยู่ของเมืองจึงขึ้นอยู่กับมิติเหล่านี้ทั้งหมด

โคเปนเฮเกน เมืองหลวงของเดนมาร์ก เป็นตัวอย่างที่ดีของเมืองที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างคุณภาพชีวิตที่ดี ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม และความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจได้อย่างน่าสนใจ

โคเปนเฮเกนได้ปฏิวัติระบบการเดินทางในเมืองด้วยการลงทุนอย่างมหาศาลในเส้นทางจักรยาน ปัจจุบันมีเส้นทางจักรยานมากกว่า 350 กิโลเมตร ทำให้ประชากรราว 62% ใช้จักรยานเป็นพาหนะหลักในการเดินทางประจำวัน กลยุทธ์นี้ส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชนและทำให้พื้นที่ถนนสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพทั้งรถไฟใต้ดิน รถบัส และรถไฟ ยังช่วยลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ

ใจกลางเมืองของโคเปนเฮเกนมีถนนคนเดินที่ยาวที่สุดในยุโรป นั่นคือ ถนนสตรอยเกต ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งเสริมวัฒนธรรมการเดินเท้า แต่ยังเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญด้วย ร้านค้า ร้านอาหาร และธุรกิจต่างๆ เติบโตขึ้นรอบพื้นที่นี้ สร้างชีวิตชีวาให้กับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น

ความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อมของโคเปนเฮเกนเป็นหนึ่งในจุดเด่นที่น่าสนใจที่สุด เมืองนี้ตั้งเป้าที่จะเป็นเมืองคาร์บอนเป็นกลางภายในปี 2568 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ทะเยอทะยานที่สุดในโลก การให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ และงานในภาคพลังงานสีเขียวอีกด้วย

ระบบความร้อนจากส่วนกลาง (District heating) เป็นนวัตกรรมที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งของโคเปนเฮเกน ครัวเรือนเกือบ 98% เชื่อมต่อกับระบบนี้ ซึ่งใช้ความร้อนเหลือทิ้งจากการผลิตไฟฟ้า ทำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดต้นทุนพลังงานสำหรับประชาชน สะท้อนให้เห็นถึงการคิดอย่างเป็นระบบในการจัดการทรัพยากร

พื้นที่สีเขียวกระจายอยู่ทั่วเมือง โดยมีการวางแผนให้ประชาชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในระยะไม่เกิน 300 เมตรจากพื้นที่สาธารณะเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ สวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มคุณภาพชีวิต แต่ยังช่วยในการจัดการน้ำฝนและลดผลกระทบจากภาวะความร้อนในเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เศรษฐกิจของโคเปนเฮเกนไม่ได้พึ่งพาอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งมากเกินไป เมืองนี้เป็นที่ตั้งของธุรกิจในหลายภาคส่วน ตั้งแต่เทคโนโลยีสะอาด (Cleantech) อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ไปจนถึงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่น่าสนใจคือ การเติบโตอย่างรวดเร็วของภาคธุรกิจด้านเทคโนโลยีสะอาดได้สร้างงานใหม่กว่า 25,000 ตำแหน่งในทศวรรษที่ผ่านมา และสร้างรายได้จากการส่งออกเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาดเป็นมูลค่ามหาศาล 

ความหลากหลายทางเศรษฐกิจนี้ช่วยให้เมืองสามารถรับมือกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจได้ดี และยังเป็นแบบอย่างของการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

พื้นที่นวัตกรรมหลายแห่ง เช่น Copenhagen Science City เป็นศูนย์กลางที่รวบรวมบริษัทสตาร์ทอัพ สถาบันวิจัย และมหาวิทยาลัยเข้าไว้ด้วยกัน ความใกล้ชิดทางกายภาพนี้ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และความร่วมมือ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และสถาบันการศึกษาเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของโคเปนเฮเกน โครงการร่วมมือหลายโครงการได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาในเมืองและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ แนวทางนี้ไม่เพียงแต่นำไปสู่การแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยกระจายความเสี่ยงและต้นทุนในการพัฒนาระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ อีกด้วย

ระบบสวัสดิการสังคมที่แข็งแกร่งของเดนมาร์กมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีในโคเปนเฮเกน การเข้าถึงบริการสาธารณสุขถ้วนหน้า การศึกษาที่มีคุณภาพและราคาไม่แพง และนโยบายที่เป็นมิตรกับครอบครัว ช่วยลดความเครียดทางการเงินและเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน

นโยบายที่อยู่อาศัยของโคเปนเฮเกน ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางสังคมและป้องกันการแบ่งแยก กฎหมายกำหนดให้โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ต้องจัดสรรพื้นที่อย่างน้อย 25% เป็นที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยา การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีผู้อยู่อาศัยที่มีรายได้หลากหลายได้อยู่ร่วมกัน

ผลลัพธ์ของแนวทางการพัฒนาเมืองแบบบูรณาการของโคเปนเฮเกนปรากฏชัดเจนในดัชนีคุณภาพชีวิตระดับโลก เมืองนี้ติดอันดับต้นๆ ของเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกอย่างสม่ำเสมอ แม้ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลก เมืองนี้ยังคงรักษาอัตราการว่างงานในระดับต่ำไว้ได้ (ประมาณ 4-5% ก่อนการระบาดของโควิด-19) และมีการฟื้นตัวที่รวดเร็วกว่าเมืองใหญ่หลายแห่ง ประชาชนรายงานระดับความสุขและความพึงพอใจในชีวิตสูง ซึ่งสัมพันธ์กับนโยบายสาธารณะที่มุ่งเน้นคุณภาพชีวิตมากกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว

ประสบการณ์ของโคเปนเฮเกน แสดงให้เห็นว่า ความเจริญทางเศรษฐกิจและความน่าอยู่ของเมืองสามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ แทนที่จะเป็นเป้าหมายที่แข่งขันกัน เพียงแต่ต้องนำหลักคิดเหล่านี้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละเมือง