เส้นทางของคนธรรมดาที่อยากสำเร็จ (ต่อ)

ความสำเร็จไม่ใช่โชค ไม่ใช่พรสวรรค์ และไม่ใช่แรงบันดาลใจชั่ววูบ
มนุษย์ทุกคนต่างต้องการความสำเร็จ แต่ผู้ที่ไปถึงปลายทางได้จริงมักไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์ที่สุด หากแต่เป็นคนที่มีลักษณะคล้าย ๆ กันอยู่ไม่กี่ข้อ
เริ่มจากข้อแรกคือลงมือทำอย่างต่อเนื่องมากที่สุด พวกเขาเริ่มจากการแบ่งเป้าหมายใหญ่ให้เล็กลง รู้จุดแข็งของตัวเอง ข้อสองคือการโฟกัสกับสิ่งที่ถนัด และข้อสามให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ ข้อสี่คือการกำหนดกรอบเวลาให้ชัด เพราะเดดไลน์คือแรงกดดันเชิงบวกที่ทำให้ความคิดลอย ๆ กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้
อีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันคือข้อห้า “การไม่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม” คนจำนวนมากทำงานได้ดีเฉพาะวันที่อารมณ์ดีหรือทุกอย่างเป็นใจ แต่คนที่เติบโตได้จริงคือคนที่ทำได้สม่ำเสมอ
ต่อกันในข้อที่หก คือการเปลี่ยน “วินัย” ให้กลายเป็น “นิสัย” ที่ทำเองได้โดยอัตโนมัติ ไม่มีผู้ประสบความสำเร็จคนไหนที่โตจากแรงบันดาลใจล้วน ๆ ทุกคนเติบโตด้วยวินัยที่ทำซ้ำจนกลายเป็นนิสัย
เราอาจเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยสิ่งพื้นฐานที่สุด นั่นคือ “การจดบันทึกตอนเริ่มต้นวันใหม่” ซึ่งไม่ต้องเขียนเยอะ ไม่ต้องเขียนสวย แค่ลิสต์ออกมาว่าวันนี้ “ต้องทำอะไรบ้าง” จะ 5 ข้อ 10 ข้อ ตามปริมาณงานของแต่ละวันก็ได้
จากนั้นให้จัดลำดับความสำคัญไว้ด้านบนสุด ข้อไหนสำคัญที่สุด ให้ทำก่อนเสมอ แม้บางวันเราจะทำได้ไม่ครบ แต่ถ้าครบงานสำคัญ 3-5 ข้อ ในงานที่กำหนดความสำคัญลดหลั่นไว้ 10 ข้อ นั่นคือเราเดินหน้าไปแล้วเกือบ 70% ในความสำเร็จในเป้าหมายของวันนั้น
สิ่งที่แย่ยิ่งกว่าการจัดลำดับผิด คือ “การไม่ได้จดบันทึกอะไรเลย” เพราะนั่นหมายความว่าเราจะปล่อยให้สถานการณ์พาชีวิตเราไปทางไหนก็ได้ แบบไม่ตั้งใจ เหมือนเราขึ้นรถไฟแต่ไม่รู้ว่าปลายทางอยู่ที่ไหน จะลงตอนไหนก็ไม่รู้ การจดบันทึกจึงไม่ใช่แค่เรื่องการจัดการงาน แต่คือการจัดการชีวิตทั้งหมดของเรา
และที่สำคัญคือ วันนี้การจดบันทึกทำได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะจดในสมุด ติดโพสต์อิทไว้ข้างจอ หรือเขียนในสมาร์ทโฟนให้มีการแจ้งเตือนยิ่งดี เพราะมันทำหน้าที่เป็น “สัญญากับตัวเอง” ว่าเราจะไม่ปล่อยให้งานสำคัญหลุดมืออีกต่อไป วินัยจึงเริ่มได้จากสิ่งเล็กที่สุด แต่ก่อผลลัพธ์ใหญ่ที่สุดเสมอ
ข้อที่เจ็ด หัดเล่าความฝันให้คนอื่นฟัง เพราะเมื่อเรามีความฝัน มีเป้าหมายที่อยากไปถึง การพูดให้ผู้อื่นฟัง จะช่วยให้เราเข้าใกล้มันเร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะการเล่าให้ทีมงาน ครอบครัว หรือเพื่อนสนิทฟัง ไม่ใช่แค่การบอกเล่าธรรมดา แต่มันคือการสร้างพันธสัญญา ซึ่งก็คือสัญญากับผู้อื่นและกับตัวเองว่าเราจะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ
การเล่าความฝันทำให้คนรอบข้างเห็นภาพเดียวกัน และมองเห็นโอกาสที่จะเข้ามาช่วยกันผลักดัน เชื่อมโยงงานแต่ละส่วน แบ่งภาระ กระจายบทบาทเพื่อทำให้ฝันนั้นเกิดขึ้นได้จริง
ถ้าเป็นงานในองค์กร การเล่าให้ทีมฟังคือการตั้งเป้าหมายร่วมกัน และเมื่อทุกคนไปในทิศทางเดียวกัน แรงของทีมจะมากกว่าแรงของคน ๆ เดียวเป็นสิบเท่า
ยิ่งเล่าได้ละเอียดเท่าไหร่ คนรอบข้างยิ่ง “เห็น” เหมือนเราเท่านั้น และเมื่อทุกคนเริ่มเชื่อในฝันเดียวกัน มันก็เหมือนเรามีผู้ร่วมทางเพิ่มอีกหลายคนบนถนนเส้นนั้น ความกดดันร่วมกันจะผลักให้ทุกคนพยายาม แม้ในวันที่อ่อนล้า แม้ในวันที่ล้มเหลว ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียวแต่เป็นพลังร่วมของคนที่เชื่อเหมือนกัน
เหนือสิ่งอื่นใด การเล่าความฝันออกไปเหมือน “ลงชื่อ” ในหนังสือสัญญาความรับผิดชอบ เราบอกกับครอบครัวว่าเราจะทำสิ่งนี้ให้ได้ เราบอกกับทีมงานว่าเราจะสร้างผลงานนี้ให้สำเร็จ เราบอกกับสังคมว่าเราจะสร้างประโยชน์บางอย่างให้เกิดขึ้นจริง นี่คือพลังของถ้อยคำ เมื่อพูดออกไปแล้ว เราจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตัวเองผิดคำพูด
ความสำเร็จเป็นเรื่องของระบบ สภาพจิตใจ และวินัยที่ทำทุกวัน ไม่ใช่โชค ไม่ใช่พรสวรรค์ และไม่ใช่แรงบันดาลใจชั่ววูบ
ยังเหลืออีก 2 ข้อสุดท้ายรอติดตามได้ในสัปดาห์หน้าครับ...







