ความหวังจากเครื่องจักรทางเศรษฐกิจของไทย

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจพึ่งพาเครื่องจักรหลักอยู่ไม่กี่ตัว และทุกครั้งที่โลกได้รับผลกระทบจากวิกฤตใดก็ตาม
เครื่องจักรเหล่านี้ก็จะสะท้อนอาการออกมาอย่างรุนแรง ทั้งภาคการท่องเที่ยว การส่งออก การลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งทั้งหมดนี้สัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก
ในช่วงต้นเดือนต.ค.นี้ตรงกับวันชาติจีน หรือ Golden Week ซึ่งถือเป็นช่วงหยุดยาวครั้งสำคัญของปี และเป็นช่วงที่หลายประเทศทั่วโลกจับตา เพราะนักท่องเที่ยวจีนกว่า 700 ล้านคนพร้อมออกเดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ เครื่องจักรทางเศรษฐกิจอย่างแรกคือการท่องเที่ยวจึงดูจะมีความหวังขึ้นมา
สำหรับประเทศไทยที่เคยเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวจีน ดูเหมือนว่าปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวกลับมาไม่เต็มที่อย่างที่คาดไว้ แม้รัฐบาลจะมีนโยบายฟรีวีซ่าและมาตรการส่งเสริมท่องเที่ยวต่อเนื่อง
แต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในช่วง Golden Week ยังคงผันผวนสูง สาเหตุหลักมาจากเศรษฐกิจจีนเองที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังอยู่ในภาวะถดถอย ราคาบ้านลดลง ความมั่งคั่งของชนชั้นกลางลดลง ส่งผลให้ประชาชนต้องรัดเข็มขัดและเลือกท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นหลัก
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนเองก็มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ส่งเสริมให้คนจีนใช้จ่ายภายใน และลดการพึ่งพาการท่องเที่ยวต่างประเทศ เพื่อรักษาเม็ดเงินให้อยู่ในระบบของตนเอง ผลคือแม้ไทยยังเป็นปลายทางที่น่าสนใจ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมายังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดพอสมควร
ในแง่ของภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการท่องเที่ยว โรงแรม และร้านอาหาร ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ลูกค้าหายและการจับจ่ายไม่คึกคักเหมือนในอดีต ร้านอาหารหลายแห่งในย่านท่องเที่ยวอย่างเช่นพัทยา รายงานว่ายอดขายลดลงกว่า 20–30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แม้จะมีนักท่องเที่ยวแต่กลับไม่ใช้จ่ายมากเหมือนเดิม
อีกเครื่องจักรสำคัญของไทยคือ “การส่งออก” ซึ่งถือเป็นหัวใจของรายได้ประเทศมายาวนาน แต่ปีนี้ภาพรวมกลับไม่สดใสอย่างที่หลายฝ่ายคาด เพราะโลกกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัว และนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังคงเข้มงวดต่อจีน รวมถึงการคว่ำบาตรเทคโนโลยีขั้นสูง ได้ส่งผลกระทบไปทั่วห่วงโซ่อุปทาน
ขณะที่ไทยเองก็ได้รับผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากไทยอยู่ในฐานะที่เป็นซัพพลายเชนของการผลิตในภูมิภาค และมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ก็ทำให้เราต้องรอต่อไปเพราะแม้จะเจรจาจนได้ตัวเลขภาษีในภาพรวมแต่รายละเอียดสำคัญนั้นยังมีอีกมาก และไทยเราก็ยังเป็นเพียงประเทศเล็กๆ เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศยุโรป เกาหลีใต้ ฯลฯ จึงต้องรอต่อไปโดยยังไม่รู้ทิศทางใดๆ
ความไม่แน่นอนนี้เป็นสิ่งที่นักธุรกิจกลัวที่สุด เพราะเมื่อไม่รู้ว่ารัฐบาลจะเดินหน้าในทิศทางใด การวางแผนการลงทุนหรือการผลิตก็ทำได้ยาก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงเลือกชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ให้แน่ชัดเสียก่อน
ทั้งนี้เศรษฐกิจที่ดีต้องอาศัยความมั่นใจเป็นแรงขับสำคัญ แต่ความมั่นใจนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากการเมืองไม่มั่นคง ในขณะที่ประเทศไทยเพิ่งมีรัฐบาลใหม่เพียงสี่เดือนหลังจากการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเสร็จสมบูรณ์
แม้หลายอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง แต่บรรยากาศการลงทุนยังอยู่ในช่วง “ประคองตัว” เพราะนักลงทุนต่างชาติยังรอดูว่ารัฐบาลนี้จะสามารถผลักดันนโยบายใหญ่ๆ ได้จริงหรือไม่
ขณะเดียวกัน ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ยังคงร้อนแรงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ก็เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับไทย จีนกำลังวางแผนย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศตัวเอง เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากภาษีและแรงกดดันทางการเมือง ซึ่งทำให้ประเทศในอาเซียนกลายเป็นเป้าหมายสำคัญโดยเฉพาะเวียดนาม แต่ก็ขาดโครงสร้างพื้นฐานสำคัญโดยเฉพาะด้านพลังงานไฟฟ้าซึ่งไทยดูจะมีความพร้อมมากกว่า
เวลาเพียงแค่สี่เดือนของรัฐบาลนี้ จึงควรเน้นการขับเคลื่อนในด้านนี้ให้มากขึ้นเพื่อสร้างโอกาสในการพลิกตัวและใช้เป็นเครื่องจักรสำคัญอีกตัวหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย หากทำได้ ปีหน้าก็จะทำให้เรามีโอกาส เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะพอดีกับการที่การเจรจาการค้าเสร็จสิ้นสมบูรณ์
อายุของรัฐบาลนี้ที่มีเพียงแค่ 4 เดือน จึงถือว่ามีโอกาสที่จะพลิกตัวได้ ขณะนี้เราอาจทำได้แค่ประคองตัวแต่ปีหน้าเมื่อทุกอย่างลงตัวบวกกับกระแส การเลือกตั้งครั้งใหม่ก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจของไทยพลิกฟื้นได้อย่างเต็มที่







