ปรับตัวรับความผันผวน

ในอดีตความก้าวหน้าทางด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่าง ๆ ในโลกตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ดูเหมือนจะถูกผูกขาดโดยสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก นับตั้งแต่โครงสร้างด้านสาธารณูปโภค ด้านการคมนาคม เทคโนโลยีสารทนเทศ เทคโนโลยีอวกาศ ฯลฯ
แต่ระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาดูเหมือนตำแหน่งดังกล่าวจะเริ่มสั่นคลอนมากขึ้นด้วยภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของโลกเปลี่ยนไป
หลายๆ ประเทศเริ่มก้าวขึ้นมามีบทบาทโดยเฉพาะจีนที่มีแนวทางในการพัฒนาแตกต่างจากสหรัฐฯ อย่างสิ้นเชิง โดยตัวอย่างล่าสุดที่เห็นได้ชัด คือการพัฒนาเทคโนโลยีเอไอของจีนที่มีต้นทุนต่ำกว่าหลายเท่า
การแข่งขันดังกล่าวจะดำเนินต่อไปอีกหลายปี และเป็นเวทีสำคัญให้แต่ละประเทศได้ใช้ศักยภาพของตัวเองผลักดันเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งเทคโนโลยีอย่างเอไอได้กลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทุกประเทศจะใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นในระยะแรกจึงเน้นที่การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาคธุรกิจ งานหลายอย่างในอดีตเช่นพนักงานบันทีกข้อมูล ซึ่งเดิมทีเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะการพิมพ์ขั้นสูงเพราะต้องกรอกข้อมูลเป็นจำนวนมากเข้าไปในระบบฐานข้อมูล แต่งานดังกล่าวหายไปเป็นที่เรียบร้อยเพราะข้อมูลเกือบทั้งหมดในปัจจุบันออนไลน์ถึงกันแบบเรียลไทม์แล้ว
เช่นเดียวกับงานเลขานุการที่มีหน้าที่จดประชุม นัดหมาย และจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เราพบว่าเทคโนโลยีเอไอเข้ามาทำงานแทนที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งมีบทความและคลิปมากมายที่ชี้ให้เห็นแนวโน้มดังกล่าว
แต่ในขณะเดียวกันเราก็จะเห็นอาชีพใหม่ๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นมามากมายเช่นกัน ยกตัวอย่างตำแหน่ง งานทางด้านบิ๊กดาต้า ซึ่งแม้จะเกิดขึ้นมาหลายปีแล้วแต่ปัจจุบันเราต้องอาศัยมุมมองที่แตกต่างเพื่อสร้างมิติใหม่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ การทำงานในตำแหน่งนี้จึงไม่ใช่เพียงรอข้อมูลมาวิเคราะห์แต่ต้องมองให้รอบด้านตั้งแต่ที่มาของข้อมูลที่หลากหลาย
อีกสาขาหนึ่งที่เคยเติบโตอย่างก้าวกระโดดก็คือด้านฟินเทค ซึ่งยังคงร้อนแรงอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ขยายตัวไปยังธุรกิจอื่นไม่จำกัดอยู่กับเฉพาะธนาคารและสถาบันการเงิน เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้ธุรกิจอื่นๆ ก็สามารถทำธุรกรรมต่างๆ รองรับความต้องการของลูกค้าได้
การเติบโตเข้าสู่แนวโน้มดังกล่าวจึงต้องอาศัยทักษะที่จำเป็น ซึ่งมีตัวอย่างสำคัญที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยเช่นการคิดเชิงบวก เพราะคิดที่รู้จักมองโลกในแง่บวกมักจะมีพลังในการทำงานมากกว่าคนทั่วไป เพราะเขามักตื่นมาด้วยความคิดว่า “ตัวเองทำได้” ทำให้ได้เปรียบคนอื่นตั้งแต่เริ่มงานในตอนเช้า
อีกข้อหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การเรียนรู้อยู่เสมอและเปิดใจรับฟังทุกคนรอบข้าง ซึ่งก็ตรงกับภาษิตจีนโบราณที่ผมเคยย้ำเสมอว่า 3 คนที่เดินสวนมานั้นอาจมี 1 คนที่เป็นครูเราได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร จะเป็นกรรมกรหรือเป็นนักปราชญ์ก็ล้วนมีแง่มุมที่เรานำมาใช้พัฒนาตัวเองได้เสมอ
โลกอาจจะหมุนเร็วขึ้น แต่เราก็ต้องปรับตัวให้เร็วยิ่งกว่า ซึ่งโอกาสจะเกิดขึ้นกับคนที่ปรับตัวได้ก่อน เหลือทิ้งไว้เป็นวิกฤติให้กับคนที่ไม่รู้จักปรับตัวเท่านั้น