ยุโรปจะเริ่มใช้ พาสปอร์ตดิจิทัลของผลิตภัณฑ์ ในปี ค.ศ. 2026

ยุโรปจะเริ่มใช้ พาสปอร์ตดิจิทัลของผลิตภัณฑ์ ในปี ค.ศ. 2026

สหภาพยุโรปจะเริ่มบังคับใช้ "พาสปอร์ตดิจิทัลของผลิตภัณฑ์" (DPP) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2026 เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความยั่งยืนของสินค้า

KEY

POINTS

  • สหภาพยุโรปจะเริ่มบังคับใช้ "พาสปอร์ตดิจิทัลของผลิตภัณฑ์" (DPP) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2026 เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความยั่งยืนของสินค้า
  • DPP ทำหน้าที่เป็นบัตรประจำตัวดิจิทัลที่รวบรวมข้อมูลสำคัญตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ เช่น วัสดุ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความสามารถในการซ่อมแซมหรือรีไซเคิล
  • การบังคับใช้จะเริ่มต้นกับกลุ่มเหล็กและเหล็กกล้าในปี 2026 และจะขยายไปยังสินค้าประเภทอื่น ๆ เช่น สิ่งทอ อะลูมิเนียม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเฟอร์นิเจอร์ ภายในปี 2029

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การบริโภคเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสร้างมลภาวะ โดยที่ผลิตภัณฑ์และวิธีการที่เราใช้งาน สามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีนัยสำคัญ

แนวคิดหนึ่งในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทในโลกการค้า ได้แก่ การออกพาสปอร์ตดิจิทัลของผลิตภัณฑ์ (Digital Product Passport หรือ DPP) กำกับตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะปรับปรุงความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในตลาด ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการหมุนเวียน การใช้พลังงาน การนำกลับมาใช้ใหม่ และความทนทาน

DPP เปรียบเสมือนบัตรประจำตัวดิจิทัลสำหรับผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบ และวัสดุ ซึ่งจะจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมการหมุนเวียน และเสริมสร้างการปฏิบัติตามกฎหมาย

ข้อมูล DPP นี้จะสามารถเข้าถึงได้ทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ผู้บริโภค ผู้ผลิต และหน่วยงานต่าง ๆ ตัดสินใจเกี่ยวกับความยั่งยืน การหมุนเวียน และการปฏิบัติตามกฎระเบียบได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบการมีอยู่และความถูกต้องจากพาสปอร์ตดิจิทัลของสินค้านำเข้าได้โดยอัตโนมัติ

โดยข้อมูลที่ถูกระบุอยู่ในพาสปอร์ตดิจิทัลของผลิตภัณฑ์จะขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจรวมถึง ประสิทธิภาพทางเทคนิคของผลิตภัณฑ์ วัสดุและแหล่งที่มา กิจกรรมการซ่อมแซม ความสามารถในการนำกลับมาใช้ใหม่ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

ในสหภาพยุโรป พาสปอร์ตดิจิทัลของผลิตภัณฑ์ ได้ถูกนำมาใช้ภายใต้ข้อบังคับการออกแบบเชิงนิเวศสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (ESPR) โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์ ด้วยการให้ข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับต้นกำเนิด วัสดุ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และคำแนะนำในการกำจัดของแต่ละผลิตภัณฑ์

DPP ถูกออกแบบมาเพื่อลดช่องว่างระหว่างความต้องการข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่โปร่งใสของผู้บริโภค กับการขาดข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่เชื่อถือได้ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ข้อมูลสำคัญที่จะรวมอยู่ใน DPP ได้แก่ รหัสประจำตัวผลิตภัณฑ์ที่ไม่ซ้ำกัน เอกสารการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และข้อมูลเกี่ยวกับสารที่น่ากังวล นอกจากนี้ ยังประกอบไปด้วยคู่มือผู้ใช้ คำแนะนำด้านความปลอดภัย และแนวทางการกำจัดผลิตภัณฑ์

ด้วยบันทึกดิจิทัลละเอียดของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ DPP จะช่วยยกระดับการจัดการห่วงโซ่อุปทาน รับประกันการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ระบุและบรรเทาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความถูกต้องและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การนำ DPP มาใช้ เป็นไปตามหลักการข้อมูลเปิด (Open Data) ด้วยการเปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์โดยละเอียดสู่สาธารณะ แนวทางนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยปรับปรุงความชัดเจนต่อข้อมูลผลิตภัณฑ์และแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืน แต่ยังเอื้อให้เกิดการแบ่งปันข้อมูลและการทำงานร่วมกันได้ดีขึ้นทั่วทั้งอุตสาหกรรม ที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของข้อมูลที่เป็นมาตรฐานและเข้าถึงได้ ในการผลักดันให้เกิดความโปร่งใสและความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้

พาสปอร์ตดิจิทัลของผลิตภัณฑ์ ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในด้านความโปร่งใสและความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ ที่ช่วยส่งเสริมตลาดที่เปิดกว้างและมีความรับผิดชอบ ทั้งนี้ การผนวกหลักการข้อมูลเปิดเข้ากับ DPP จะช่วยเพิ่มทั้งความชัดเจนและความเที่ยงตรงของข้อมูลผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งบริษัท ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน

ข้อบังคับการออกแบบเชิงนิเวศสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (ESPR) มีกำหนดเวลาบังคับใช้สำหรับทั้งข้อกำหนดเฉพาะของผลิตภัณฑ์และข้อกำหนดทั่วไป ครอบคลุมการระบุเขตข้อมูลที่จำเป็น รูปแบบการรายงาน และระเบียบวิธีสำหรับผลิตภัณฑ์แต่ละกลุ่ม เพื่อให้มั่นใจว่าเจตนารมณ์ของข้อบังคับสอดรับกับแนวปฏิบัติจริงในอุตสาหกรรม

โดยเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 2026 ข้อบังคับ ESPR จะเริ่มใช้กับเหล็กและเหล็กกล้า โดยเน้นที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ในปี ค.ศ. 2027 จะครอบคลุมถึงอะลูมิเนียม สิ่งทอ และยางล้อ โดยจะมีมาตรการสำหรับวัสดุขั้นทุติยภูมิ การยืดอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ และการปรับปรุงความสามารถในการนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการนำกฎเกณฑ์ด้านความสามารถในการซ่อมแซมมาใช้สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคและเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กในครัวเรือนด้วย

ยุโรปจะเริ่มใช้ พาสปอร์ตดิจิทัลของผลิตภัณฑ์ ในปี ค.ศ. 2026

และภายในปี ค.ศ. 2028 ข้อบังคับ ESPR จะรวมถึงเครื่องเรือน มุ่งเน้นไปที่การใช้ทรัพยากรและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากนั้น ในปี ค.ศ. 2029 จะครอบคลุมถึงที่นอนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้กฎเกณฑ์ด้านความทนทาน ความสามารถในการนำกลับมาใช้ใหม่ และสัดส่วนวัสดุรีไซเคิล

ทั้งนี้ ข้อกำหนดด้านการออกแบบเชิงนิเวศและการติดฉลากพลังงานในอนาคต สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับเลือก จะครอบคลุม 2 องค์ประกอบ ได้แก่:

1) ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ เช่น ความทนทานขั้นต่ำ ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและทรัพยากรขั้นต่ำ การมีอยู่ของอะไหล่ หรือสัดส่วนวัสดุรีไซเคิลขั้นต่ำ และ/หรือ

2) ข้อมูลผลิตภัณฑ์ รวมถึงคุณลักษณะสำคัญ เช่น คาร์บอนฟุตพรินต์ และฟุตพรินต์สิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ ที่จะเผยแพร่ผ่านพาสปอร์ตดิจิทัลของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก

โดยในระหว่างกระบวนการพัฒนาข้อกำหนดการออกแบบเชิงนิเวศ ได้มีการคำนึงถึงความต้องการของ SMEs โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสาหกิจรายย่อย และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม

 พาสปอร์ตดิจิทัลของผลิตภัณฑ์ ถือเป็นพัฒนาการสำคัญในการยกระดับให้มีผลิตภัณฑ์ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น ช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดเงินและสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยการออกแบบเชิงนิเวศและการติดฉลากพลังงานของสหภาพยุโรป ได้ช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดเงินไปแล้วกว่า 1.2 แสนล้านยูโร จากการลดการใช้พลังงาน และกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง

จะเห็นว่าการนำพาสปอร์ตดิจิทัลของผลิตภัณฑ์มาใช้ จะช่วยให้ภาคเอกชนสามารถขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อปกป้องโลก ส่งเสริมรูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืน เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจได้ดียิ่งขึ้น

และหนีไม่พ้นที่ภาคเอกชนไทย จำต้องเตรียมรับมือกับการนำ DPP มาใช้ โดยมีสหภาพยุโรปเป็นผู้นำร่อง เนื่องจากเรายังต้องอาศัยการค้าขายในห่วงโซ่อุปทานโลกที่มีกติกาสากลใหม่ ๆ เกิดขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้