เทรนด์การอยู่อาศัย Wellness & Green Living เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตคนยุคใหม่

แม้ช่วงนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่กลุ่มที่อยู่อาศัยซึ่งออกแบบเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมกลับเติบโตสวนกระแส สะท้อนความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ที่พร้อมลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม
แนวโน้มดังกล่าวเห็นได้ชัดเจนผ่านการขยายตัวของ Wellness Real Estate โครงการที่ผสานแนวคิดสุขภาพเข้ากับการอยู่อาศัย ตั้งแต่การติดตั้งระบบฟอกอากาศและควบคุมคุณภาพน้ำ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การใช้เทคโนโลยีสมาร์ตโฮม ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสุขภาพ เช่น มีฟิตเนส สปา หรือการจัดให้มีบริการที่ปรึกษาด้านสุขภาพในโครงการ
ขณะเดียวกัน Green Building ก็ได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืน รวมไปถึงการผลักดันของทั้งภาครัฐและเอกชน เห็นได้จากโครงการ Green Bangkok 2030 ที่มุ่งสร้างพื้นที่สีเขียวใน กทม. ให้มากขึ้น นอกจากนี้ อาคารที่ได้รับการรับรองด้านความยั่งยืน เช่น LEED, TREES และ Fitwell มักมีความได้เปรียบทั้งในแง่การลงทุนและความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ
จากผลสำรวจของ SCB EIC ชี้ว่าผู้บริโภคเกือบ 90% ให้ความสำคัญกับวัสดุก่อสร้างที่ประหยัดพลังงานและลดมลภาวะอย่างมาก ขณะที่กว่า 60% โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ยินดีที่จะจ่ายเพิ่มสำหรับบ้านที่สอดคล้องกับแนวคิด ESG
อย่างไรก็ตาม การสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดีไม่ได้จบแค่การออกแบบอาคาร แต่ยังรวมถึงการดูแลคุณภาพชีวิตหลังการเข้าอยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นบทบาทสำคัญของ Property Management ที่ต้องบริหารจัดการเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาวะที่ดีในทุกมิติ
1.สภาพแวดล้อมภายในโครงการที่ส่งเสริมสุขภาวะ ทั้งระบบอากาศ น้ำ การจัดโซนพื้นที่สีเขียว การดูแลสวน สระน้ำ ความสะอาด รวมถึงระบบอาคารก็จำเป็นต้องมีทีมช่างหรือวิศวกรผู้เชี่ยวชาญคอยตรวจดูความเรียบร้อยและจุดที่ต้องได้รับการปรับปรุงอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย รวมถึงการจัดการพลังงานภายในอาคารที่มีคุณภาพ
2.ความปลอดภัยในการอยู่อาศัย ทุกวันนี้เทคโนโลยี AI สามารถเข้ามาช่วยเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งในแง่การป้องกันผู้บุกรุกเข้าโครงการ การแจ้งเตือนเหตุไฟไหม้และอุปกรณ์เสียหายที่แม่นยำ สามารถรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้อยู่อาศัยอุ่นใจได้ยิ่งขึ้น
3.การสร้างคอมมูนิตี้และออกแบบกิจกรรมเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกบ้าน อาทิ กิจกรรมโยคะที่สนามหญ้าส่วนกลาง การยืดกล้ามเนื้อก่อนว่ายน้ำเพื่อความปลอดภัย กิจกรรมบำบัดผ่านศิลปะ หรือกิจกรรมจิตอาสาเพื่อบำบัดจิตใจ เช่น ร่วมกันไปช่วยฟื้นฟูโรงเรียน การนำบุคลากรของเราไปถ่ายทอดความรู้และความเชี่ยวชาญให้กับลูกบ้านและชุมชนรอบข้าง นอกจากนี้ ยังสามารถมองหาโอกาสในการพาร์ตเนอร์กับสินค้าและบริการด้านสุขภาพ เพื่อส่งมอบสินค้าคุณภาพดีให้ลูกบ้าน พร้อมทั้งนำความรู้หรือความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพของพาร์ตเนอร์มาต่อยอดเป็นกิจกรรมอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อลูกบ้านได้
4.การอยู่อาศัยร่วมกันของคนทุกเจนเนอเรชัน หลายคนมักมองว่าควรออกแบบกิจกรรมเพื่อตอบสนองเจนเนอเรชันนั้น ๆ โดยเฉพาะเจาะจง แต่ลืมมองไปว่าบางครั้ง อย่างผู้สูงวัยเองก็อาจต้องการอยู่ร่วมกับวัยลูกหลานอย่างลงตัว ดังนั้น การมองหากิจกรรมที่เป็นสะพานเชื่อมโยงคนทุกวัยให้สามารถมาแชร์ประสบการณ์ร่วมกัน ก็จะช่วยให้เกิดคอมมูนิตี้คุณภาพอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น ให้ผู้สูงอายุมาแชร์ความรู้ หรือประสบการณ์ให้กับเด็กและวัยทำงาน หรือกลับกันให้วัยรุ่นมาช่วยสอนใช้ Online Banking หรือการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ให้ผู้สูงอายุ เป็นต้น ก็จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้แลกเปลี่ยนข้ามวัย สร้างสายใยในชุมชนได้
5.การรักษาสิ่งแวดล้อม ที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้เอง เรามีการปลูกพืชปลอดสารพิษในโครงการแล้วนำไปส่งต่อให้ลูกบ้าน รวมถึงมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง ผ่านโครงการ “Waste To Worth” ให้ลูกบ้านแยกขยะอยากถูกวิธี ตลอดจน การจัดกิจกรรมเพื่อสังคม เช่น เก็บขยะริมชายหาดและปลูกป่าชายเลน ถือเป็นการให้ลูกบ้านมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสิ่งแวดล้อม และเป็นการร่วมปลูกจิตสำนึกด้านความยั่งยืนในระยะยาว
เมื่อพิจารณาว่า เราใช้เวลาเกือบ 90% ของแต่ละวันอยู่ภายในอาคาร จึงไม่เกินจริงที่จะกล่าวว่า “สุขภาพของบ้านและอาคาร คือสุขภาพของผู้อยู่อาศัย” หากมีทีมบริหารจัดการที่เข้าใจผู้คนและวิถีชีวิตที่ต้องการใส่ใจสุขภาพควบคู่กับสิ่งแวดล้อม ก็จะสามารถออกแบบบริการได้อย่างเหมาะสม และที่สำคัญคือการมีมาตรฐานควบคุมคุณภาพที่ต่อเนื่องและยั่งยืน สิ่งเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยสามารถใช้ชีวิตที่สมดุลทั้งกาย ใจ และสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง







