'กัมพูชา' กับ 'ยุบสภา'

เมื่อมีเรื่อง “ยุบสภา” แทรกเข้ามาอีก ทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อน สับสน เพราะการยุบสภาหนนี้ เป็นปัญหาการเมืองในตัวเอง และเป็นปัญหาการเมืองที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์สงคราม
KEY
POINTS
- “สีส้ม” ยังมีโอกาสได้ สส.จากการเลือกตั้งใหม่ 140+
- ส่วน “สีน้ำเงิน” ไม่มีทางถึง 140 เพราะปัจจัยลบจากน้ำท่วมหาดใหญ่ สแกมเมอร์ และปัญหาชายแดน
- “สีแดง” ยังตรึงที่ 110+
- ฉะนั้นถ้า “สีน้ำเงิน” ไม่ได้ที่ 1 โอกาสเกมพลิก โดนเช็กบิลมีสูงมาก
วันก่อนนั่งคุยกับ ผศ.ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ จากนิติศาสตร์ มธ. ขณะรอออกรายการที่เนชั่นทีวี อาจารย์ให้ข้อคิดไว้น่าสนใจมากๆ
โจทย์ยากที่สุดของการสู้รบไทย-กัมพูชา คือ ทั้งสองฝ่ายจะหาทางลงอย่างไร
อาจารย์พูดไว้ตั้งแต่ก่อน “ทรัมป์” เล่นบทกาวใจรอบใหม่
อาจารย์บอกว่า ไทยเจรจาไม่ได้ และตัดเงื่อนไขการเจรจาทั้งหมด ทั้งทวิภาคี มีประเทศที่สาม มีมหาอำนาจ ฯลฯ
ส่วนกัมพูชาจะยอมแพ้ และขอไทยเจรจาก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะกระแสสังคมของทั้งสองประเทศไม่ยอมแน่
จึงย้อนกลับไปโจทย์ยากที่ว่า ปัญหานี้จะจบอย่างไร เพราะแต่ละฝ่ายหาทางลงที่สวยสำหรับตัวเองไม่ได้จริงๆมันจึงมีโอกาสลากไปเรื่อยๆ บนความสูญเสียที่มากขึ้นทุกที
จากข้อคิดที่น่าคิดตามอย่างยิ่งของอาจารย์ธนภัทร เมื่อหันมาดูปฏิบัติการทางทหาร ก็ต้องยอมรับว่าความสูญเสียเริ่มมากเกินกว่าที่สมควรจะยอมรับ
แม้เข้าใจได้ว่า สงครามกำลังเข้าสู่ “ช่วงที่ 2” คือฝ่ายไทยรุกเข้าพื้นที่สำคัญ ยึดจุดยุทธศาสตร์ได้ จึงใช้ทหารราบเข้าควบคุมพื้นที่
แต่เมื่อเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ทางกัมพูชาจึงต้องตอบโต้หนัก หลายๆ จุดเขาเคยยึดครองมาก่อน จึงรู้พิกัดดี การตอบโต้แบบแม่นยำ จึงไม่ยาก ความสูญเสียฝ่ายเราจึงเยอะ
แม้จะเข้าใจตรงกันตามนี้ แต่ก็เริ่มมีเสียงทักท้วงจากนักการทหาร ทั้งที่เป็นทหารจริงๆ และเป็นนักวิชาการบ้างเหมือนกันว่า กองทัพต้องระวัง อย่าเปิดการสู้รบตามกระแส โดยมุ่งจะหักเอาให้ได้โดยไม่ห่วงความสูญเสียของกำลังพล เพราะการรบตามพื้นที่ชายแดน ไม่เหมือนการสงครามเต็มรูปแบบ เนื่องจากไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบทุกจุด 100%
ที่สำคัญ การช่วงชิงจุดยุทธศาสตร์ตามแนวชายแดนนั้น การที่ไทยมีอาวุธทันสมัยกว่า ไม่ได้เป็น “ตัวช่วย” หรือทำให้ได้เปรียบอะไรมาก เพราะการสู้รบตามแนวชายแดนเป็นเรื่องความเชี่ยวชาญพื้นที่ และการช่วงชิงความได้เปรียบจากภูมิประเทศมากกว่า ซึ่งทหารกัมพูชาฝังตัวในพื้นที่เหล่านี้มานาน และบางส่วนเป็น “ทหารบ้าน”
ฉะนั้น ล่าสุดจึงเริ่มมีเสียงเตือนให้กองทัพเปิดปฏิบัติการอย่างรอบคอบ ไม่เร่งรีบเหมือนแข่งกับเวลามากเกินไป พูดง่ายๆ คือ “ช้าแต่ชัวร์ดีกว่า” เพื่อลดความสูญเสีย
จะเห็นได้ว่าการสู้รบไทย-กัมพูชา กำลังเผชิญสถานการณ์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง
เหตุนี้ เมื่อมีเรื่อง “ยุบสภา” แทรกเข้ามาอีก ทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อน สับสน เพราะการยุบสภาหนนี้ เป็นปัญหาการเมืองในตัวเอง และเป็นปัญหาการเมืองที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์สงคราม
1.รัฐบาลภูมิใจไทยทำผิด MOA แล้วหรือยัง
2.รัฐบาลภูมิใจไทย กับฝ่ายค้ำ พรรคประชาชน ฝ่ายใดมีความชอบธรรมมากกว่ากัน
3.การทำประชามติพร้อมเลือกตั้ง ในคำถามแรกเรื่องรัฐธรรมนูญ สามารถได้จริงหรือไม่
4.จะมีการเลือกตั้งแน่หรือเปล่า?
5.สถานะของรัฐบาลรักษาการ ท่ามกลางวิกฤตประเทศทุกด้าน จะพาชาติรอได้จริงหรือ
ความซับซ้อนของปัญหายุบสภาก็คือ ผู้คนส่วนหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า นี่ไม่ใช่ความบังเอิญทางการเมือง แต่เป็นความจงใจที่เขียนสคริปต์เอาไว้แล้ว
ย้อนกลับไปวันที่ 11 ธ.ค. สอบถามกันวงในของทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้ำ ต่างฝ่ายต่างรู้กันว่า “11 ธ.ค.คือวันแตกหัก”
มีข่าว “ผู้นำจิตวิญญาณสีส้ม รุ่น 1” บัญชาการเกมหลังบัลลังก์ ในห้องประชุมสภา
ขณะที่อีกด้านก็มีข่าว “นายกฯอนุทิน” แจ้ง “ผู้นำจิตวิญญาณสีส้ม เบอร์ 2” ล่วงหน้าแล้วว่าต้องยุบสภา
นอกจากนั้นยังมีข่าว “นายกฯอนุทิน” เคยพูดเป็นนัย เมื่อวันประชุมหัวหน้าส่วนราชการ 9 ธ.ค. 2568
เชื่อว่า เลขาฯกฤษฎีกาคงต้องหาช่องทางต่างๆ ให้ประเทศของเราได้เดินหน้าต่อไปได้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่ออธิปไตยและแผ่นดินของเรา ซึ่งต้องคิดเผื่อสิ่งเหล่านี้ไปด้วย เพราะเราคงไม่ใช้คำว่า หากเป็นรัฐบาลรักษาการแล้วมีเหตุการณ์คับขันเกิดขึ้น ก็จะไม่ทำและรอให้รัฐบาลใหม่เข้ามา เพราะการรอไปก่อน อาจจะเกิดผลเสียอย่างมากมายต่อประเทศ ผมจะไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ความน่าสนใจคือ หลังจาก 12 ธ.ค. ยุบสภาแล้ว จะมีอะไรเกิดตามมา นับต่อไม่เกิน 5 วัน กกต.จะประกาศวันเลือกตั้ง และวันเปิดรับสมัคร เชื่อว่าทุกอย่างยังคงเดินหน้าเหมือนปกติ
จากนั้นจู่ๆ สถานการณ์ชายแดนอาจแรงขึ้น ต้องอพยพคนเพิ่ม จนเกิดกระแสจัดเลือกตั้งวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรไม่ได้
น่าคิดว่าหากมีเหตุการณ์ลุกลามถึงขั้นที่ทำให้ทหารต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ หรือพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ อะไรจะเกิดตามมา
คำตอบเดาไม่ยาก คือรัฐบาลรักษาการยาว...
แต่เหตุผลที่ต้องอยู่ยาว เป็นเพราะสถานการณ์การสู้รบจริงๆ หรือมีเหตุผลแอบแฝง เรื่องเลือกตั้งเร็วไม่ได้ เพราะการเมืองสามก๊กเดินสู่จุดอันตรายสำหรับค่ายน้ำเงิน เมื่อสมการการเมืองยังการันตีการเป็นรัฐบาลชุดหน้า
เพราะ “สีส้ม” ยังมีโอกาสได้ สส.จากการเลือกตั้งใหม่ 140+
ส่วน “สีน้ำเงิน” ไม่มีทางถึง 140 เพราะปัจจัยลบจากน้ำท่วมหาดใหญ่ สแกมเมอร์ และปัญหาชายแดน
“สีแดง” ยังตรึงที่ 110+
ฉะนั้นถ้า “สีน้ำเงิน” ไม่ได้ที่ 1 โอกาสเกมพลิก โดนเช็กบิลมีสูงมาก







