พรรคฟ้ามาเหนือเมฆ เอี่ยวกระแส 'ไม่มีเทา'

พรรคฟ้ามาเหนือเมฆ เอี่ยวกระแส 'ไม่มีเทา'

ใครจะคิดว่า ภายหลังรัฐบาล “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล นำทีมแถลงข่าวอายัดทรัพย์สินเครือข่ายกลุ่มสแกมเมอร์ และไฮบริดสแกม

ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเครือข่าย “ยิม เลียก- เบน สมิธ” ที่ถูกอายัดทรัพย์มูลค่า 10,157 ล้านบาท (หมื่นล้าน) โดยทั้งคู่ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติจากการหลอกลวงออนไลน์ หรือ ค้ามนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะตามมาด้วยกระแสตีกลับถล่มรัฐบาล จากความเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์เสียเอง

เนื่องจากวันต่อมา มีคนปล่อยภาพหลุดบุคคลชั้นนำของประเทศเคยถ่ายภาพร่วมเฟรม “เบน สมิธ” และในจำนวนนั้น มี อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง รวมอยู่ด้วย

เรื่องนี้ แม้ว่าทุกคนสามารถอธิบายได้ แต่ในทางการเมือง แค่สงสัยก็มากพอที่จะใช้ขยายผล “ดิสเครดิต” ได้

สำหรับ “เบน สมิธ” หรือ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ เป็นนักธุรกิจชาวแอฟริกาใต้ ซึ่งมีชื่อในบัญชีบุคคลที่จะถูกทางการสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการคว่ำบาตร หากร่างกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจร่วมระหว่างหน่วยงานเพื่อปราบปรามกลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ฉ้อโกงชาวอเมริกันผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาสหรัฐฯ

ที่น่าสนใจ พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการออกหมายจับนายเบน สมิธ แต่อย่างใด

ส่วนคำชี้แจงของคนที่ปรากฏอยู่ในภาพ โดยเฉพาะสองคนที่อยู่ในรัฐบาล เริ่มจาก “อนุทิน” เปิดเผยกับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” สถานีโทรทัศน์ช่อง 33 ว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพเก่าเมื่อปี 2557 จำได้คร่าวๆ ว่าหลังรัฐประหารได้เดินทางไปประเทศสิงคโปร์ แล้วไปเจอกับคณะของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลที่ 1 และได้เจอนายเบน สมิธ ซึ่งก็จำได้ จนมาเป็นข่าววันนี้ก็จำได้ว่า คนนี้คือนายเบน สมิธ

“ก็รู้ตั้งแต่มีการอภิปรายถึงนายเบน สมิธ ก็รู้ และก็เป็นคนที่มีหลักฐานยันชัดเจนว่า มีความพยายามขอสัญชาติไทย และในฐานะ รมว.มหาดไทย ก็ไม่ได้อนุญาตให้สัญชาติกับนายเบน สมิธ แต่อย่างใด นี่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่จะยืนยันว่าไม่ได้มีการคบค้า
และสงสัยด้วยซ้ำว่าหลังจากนั้นอาจเป็นส่วนให้ถูกผลักออกจากกระทรวงมหาดไทยหรือไม่จากกรณีที่ไม่ได้ให้สัญชาติกับนายเบน สมิธ”

นอกจากนี้ “อนุทิน” ยังให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยยอมรับว่า “รู้จัก แต่ไม่สนิท และภาพที่ปรากฏคือการเจอกันครั้งแรก”

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเจอครั้งนั้นนายเบนบอกหรือไม่ว่าทำธุรกิจอะไร “อนุทิน” ส่ายหน้า พร้อมพูดว่าเป็นคนที่คุยกันในลักษณะเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน ถามว่ารู้จักหรือไม่ ก็รู้จัก และหลังจากนั้นก็เจอกันตามงาน ก็ทักทาย... เขาก็มีแวดวง เจอในงานประมาณ 5-6 ครั้ง

ถามว่า แสดงว่านายเบน สมิธ รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมืองเยอะหรือไม่? “อนุทิน” ตอบว่า สื่อก็เห็นจากรูปแล้ว ทำไมจะมาเอากับเรื่องรูปที่ถ่ายเป็น 10 ปี

ส่วนภาพหลุดออกมาเป็นเกมการเมืองหรือไม่ “อนุทิน” กล่าวว่า แล้วแต่คนจะคิด ปกติแล้วตนไม่ได้ติดต่อและไม่ได้มีธุรกิจร่วมกับนายเบน เมื่อถามย้ำว่า ทราบหรือไม่ว่าใครเป็นคนปล่อยภาพออกมา “อนุทิน” ตอบว่า “รู้หมด สื่อก็รู้”

มาถึงกรณีส.ส.พรรคประชาชน ออกมาตั้งข้อสังเกตว่าการรู้จักกับนายเบน เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไม่อยากแก้ปัญหาสแกมเมอร์ “อนุทิน” ย้อนทันควันว่า “โอ้โห นี้อะนะที่ไม่แก้เรื่องสแกมเมอร์ You know me little go (คุณรู้จักผมน้อยเกินไป)”

ด้าน “เอกนิติ” ชี้แจงว่า เป็นภาพเก่าราว 5 ปีก่อน ในงานเลี้ยงหลักสูตรผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ประกอบด้วย ผู้บริหารภาครัฐ เอกชน และหลากหลายวงการราว 100 คน โดยเขาเป็นที่ปรึกษาและอาจารย์สอนหลักสูตรนี้ แต่นายเบนไม่ได้เรียน วันนั้นมีนักธุรกิจราว 60-70 คน ก็พาเครือข่ายพาเพื่อนมากิน ซึ่งนายเบน สมิธ เดินเข้ามาพูดคุยสั้นๆ และแลกนามบัตร หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการคบหาสมาคมกันอีก

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือ ประเด็นขยายผลทางการเมือง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า กระแสข่าวเกี่ยวกับ “ทุนเทา” หรือ “นักการเมืองเทา” ล้วนเข้าทางพรรคส้ม ที่ออก แคมเปญ “มีเรา ไม่มีเทา” ในการหาเสียงเลือกตั้ง 2569 ไปแล้ว

แต่งานนี้ “พรรคส้ม” หรือ พรรคประชาชน อาจไม่ใช่แค่พรรคเดียวที่จะกราวคะแนนนิยมอีกต่อไป เพราะปรากฏว่า “พรรคฟ้า” หรือ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาเล่นด้วย

เห็นได้ชัด พลันมีกรณีภาพหลุด ชนชั้นนำวงการต่างๆร่วมเฟรมกับ “เบน สมิธ” รวมทั้ง “อนุทิน” และ “เอกนิติ” พรรคประชาธิปัตย์ ออกแถลงการณ์ทันที โดยเรียกร้องให้ทั้งสองคน ออกมาแสดงความชัดเจนต่อสาธารณชน พร้อมระบุ แม้ “ความสัมพันธ์ในภาพถ่าย” จะไม่ใช่สิ่งที่ชี้ถึงความผิดโดยทันที แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่ประชาชนจะเกิดข้อสงสัยและรู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากรัฐบาลมีหน้าที่รับผิดชอบการปราบปรามขบวนการนี้โดยตรง

พรรคประชาธิปัตย์ จึงเรียกร้องให้นายอนุทิน และนายเอกนิติออกมาชี้แจงถึงที่มาของภาพถ่ายดังกล่าว พร้อมอธิบายว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองท่านกับนายเบน สมิธ มีลักษณะอย่างไร ซึ่งรัฐบาลควรพิจารณาให้บุคคลที่เคยมีความเกี่ยวข้องกับเบน สมิธ ในฐานะ “อดีตที่ปรึกษากฎหมาย” และปัจจุบันดำรงตำแหน่งในรัฐบาล พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อแสดงถึงความจริงใจ ความโปร่งใส และความตั้งใจจริงในการปราบปรามเครือข่าย Scammer

ก่อนหน้านี้ (2 ธ.ค.68) นายพงศกร ขวัญเมือง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กขอบคุณสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) หลัง “ปปง.” มีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 4 คดีใหญ่ ซึ่งมีมูลค่ารวมสูงถึง 10,165 ล้านบาท

“พงศกร” ระบุ การดำเนินการครั้งใหญ่นี้ เกิดขึ้นภายหลังจากพรรคประชาธิปัตย์ส่งมอบข้อมูลและหลักฐานเส้นทางธุรกรรมทางการเงินที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ต่อ ปปง. เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

“พรรคฯขอขอบคุณ ปปง. ที่เร่งรัดกระบวนการจนสามารถเริ่มยึดและอายัดทรัพย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม” โฆษก ปชป. กล่าว

ทั้งระบุอีกว่า จากการดำเนินการของ ปปง. ได้ชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงของอาชญากรรมข้ามชาติที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐาน โดยตรวจพบเครือข่ายสแกมเมอร์ที่เชื่อมโยงกันหลายชั้น ใช้วิธีการฟอกเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล บัญชีม้า และธุรกรรมหมุนเวียนระหว่างประเทศ โดยมีทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดรวมทั้งสิ้น 289 รายการ

ที่สำคัญโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ย้ำว่า การที่หน่วยงานรัฐสามารถดำเนินการยึดทรัพย์มีมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาทในครั้งนี้ได้ เป็นเครื่องพิสูจน์ความสำคัญของการทำงานเชิงรุกในการปราบปรามทุนเทา และสร้างความโปร่งใสในระบบเศรษฐกิจ

“เราจะทำงานเชิงข้อมูลต่อไป เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้บนความโปร่งใส”

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น “พงศกร” กล่าวทิ้งท้าย ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของพรรคประชาธิปัตย์ในการสานต่อภารกิจ #เปิดฟ้าใหม่ไล่เมฆเทา เพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างไม่หยุดยั้ง

ขณะที่ เฟซบุ๊ก กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij ของ กรณ์ จาติกวณิช โพสต์เช่นกัน เรื่อง “Connection = Corruption”

สาระสำคัญระบุว่า ต่อคำถามว่า ท่านนายกฯ และท่านรัฐมนตรีคลัง รู้จักมักคุ้นกับนายเบน สมิธ แค่ไหน ผมก็รู้เท่าที่ทุกคนวันนี้รู้ ซึ่งจากภาพที่มีการปล่อยออกมา คำตอบก็คือคุณเอกนิติเคยเจอ และคุณอนุทินมีความคุ้นเคยพอที่จะนั่งทานข้าวด้วย อย่างน้อยก็ตามที่ท่านได้ชี้แจงว่า “ในฐานะเพื่อนของเพื่อน”

ถ้าเพียงแค่นั้นก็ไม่มีอะไรผิด แต่สะท้อนให้เห็นความจริงว่า “ระบบการสร้าง connection” และ “การสร้าง connection อย่างเป็นระบบ” ของสังคมไทยนั้นน่ากลัวและอันตรายอย่างไร ผมและหลายคนพูดหลายครั้งว่ารัฐควรยกเลิกพวก “หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง” ต่างๆเสียที ส่วนหลักสูตรของเอกชน เจ้าหน้าที่รัฐก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะเข้าร่วม

และเสียดายแทนที่ท่านไม่เปิดเผยก่อนหน้า ว่าท่านรู้จักและเคยสังคมกับบุคคลคนนี้ ทั้งๆที่เป็นบุคคลต้องสงสัยเรื่องการฟอกเงิน

น่าคิดว่า เราควรมีกฎหมายเหมือนสิงคโปร์ ที่ระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐต้องเปิดเผยการพบปะกับนักธุรกิจต่างชาติทุกกรณี

ในยุคที่มีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นระดับสุดขีด เราต้องถามตัวเองว่า ตกลงเราจะเอาจริงกันมั้ยเรื่องนี้?

ไม่เพียงเท่านั้น อิสรา สุนทรวัฒน์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังได้ออกแถลงการณ์เป็นภาษาอังกฤษ เรียกร้องให้สังคมไทยและนานาชาติให้ความสำคัญกับภัยคุกคามใหม่ “มหันตภัยสแกมเมอร์” ที่ร้ายกาจกว่าไวรัสใดๆ ถือเป็นวิกฤตโจมตีทุกคนอย่างโหดเหี้ยมและเป็นระบบ

“อิสรา” เปรียบเทียบการแพร่กระจายของเครือข่ายสแกมเมอร์ว่า ดุจ “มะเร็งร้าย” ที่ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นคนรวย-คนจน เชื้อชาติ หรือเพศใด ทุกคนล้วนเป็นเป้าหมายและกลายเป็นเหยื่อของเครือข่ายอาชญากรรม ที่กวาดเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงและเงินเก็บตลอดชีวิตของผู้บริสุทธิ์ไปแล้วหลายพันล้านดอลลาร์ในแต่ละปี

“จากการสืบสวนเบื้องต้น เราค้นพบและเปิดโปงเครือข่ายที่ซับซ้อน ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันอย่างน่าตกใจ ระหว่าง ธุรกิจ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ธนาคาร สถาบันการเงิน และนักการเมือง ที่มีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์ในหลายประเทศ อาทิ กัมพูชา ลาว เมียนมา และสิงคโปร์ พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการยื่นหลักฐานเส้นทางธุรกรรมการเงินของกระบวนการสแกมเมอร์ ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้หน่วยงานได้นำไปสืบสวนขยายผลต่อตามอำนาจหน้าที่” อิสรา กล่าว

“อิสรา” กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง ประเด็นระดับท้องถิ่น หรือระดับชาติเท่านั้น แต่เป็นประเด็นระดับโลกที่กระทบทุกคน พรรคประชาธิปัตย์พร้อมให้ความร่วมมือกับทุกองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน ทุกพรรคการเมือง ตลอดจนผู้เสียหายและพี่น้องประชาชนที่ต้องการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง พร้อมกับเรียกร้องให้สาธารณชนมีส่วนร่วม หากพบเบาะแส ข้อมูล หรือหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซนเตอร์ แม้จะเป็นรายละเอียดเล็กๆ โปรดแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ หรือส่งข้อมูลมาให้พรรคประชาธิปัตย์ได้โดยตรง

ที่น่าวิเคราะห์ ก็คือ กลุ่มเป้าหมายทางการเมือง เรื่องการตรวจสอบ เพื่อนำไปสู่การปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ทุนเทา นักการเมืองเทาอย่างจริงจัง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ คนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งแน่นอน เป็นชนชั้นกลางในเมือง

เมื่อเป็นเช่นนี้ เท่ากับ พรรค “ส้ม” เริ่มมีคู่แข่งที่น่ากลัว นั่นคือ พรรค “ฟ้า” ที่มีกลุ่มเป้าหมายในการสร้างคะแนนนิยมเดียวกัน ประเด็นจึงอยู่ที่ฐานเสียง กลุ่มคนรุ่นใหม่ และคนชั้นกลางในเมืองของใครจะเหนียวแน่นกว่ากันเท่านั้น