เคลียร์ทุ่นระเบิด ‘แดนสังหาร’ ปราสาทตาควาย-เนิน 350

เคลียร์ทุ่นระเบิด ‘แดนสังหาร’ ปราสาทตาควาย-เนิน 350

จับตา "ปราสาทตาควาย" พื้นที่ในการควบคุมของกัมพูชา เพราะที่ผ่านมาก็ปฏิเสธมาตลอด ว่าไม่ได้วางทุ่นระเบิด จะเคลียร์พื้นที่นี้อย่างไร เพราะเข้าทำนองคนวางไม่ได้กู้ คนกู้ไม่ได้วางไว้

KEY

POINTS

  • เปิดไทม์ไลน์ ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ของทหารฝ่ายกัมพูชาที่ใช้โจมตีทหารไทยอย่างเป็นระบบ
  • กัมพูชา ปฏิเสธและบิดเบือนข้อมูลมาตลอดว่าไม่ได้วางทุ่นระเบิดใหม่โจมตีทหารไทย แต่เป็นของเก่าตกค้างในอดีต
  • การเก็บกู้ทุ่นระเบิด เป็นหนึ่งในเงื่อนไขในปฏิญญาสันติภาพ วันที่ 31 ต.ค.2568 ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ TMAC หารือศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา (CMAC) เบื้องต้นฝ่ายไทยกำหนด 13 พื้นที่เสี่ยง

“ทุ่นระเบิด” เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้ชายแดนไทย-กัมพูชานำไปสู่การปะทะ หลังทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่กัมพูชาวางไว้ 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน

ครั้งที่ 1 วันที่ 16 ก.ค. 2568 ทำให้ พลทหาร ธนพัฒน์ หุยวัน ขาขาด และบาดเจ็บ รวม 3 นาย ที่เนิน 481 ช่องบกจ.อุบลราชธานี

ครั้งที่ 2 วันที่ 23 ก.ค. 2568 จ.ส.อ.พิชิตชัย บุญชูหล้า ขาขาด 1 ที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี

ในวันสุดท้ายเหตุปะทะก่อนถึงเดดไลน์หยุดยิง 00.00 น.วันที่ 29 ก.ค.สมรภูมิปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ ถูกขนานนาม “แดนสังหาร” หลัง“หมวดบุ๊ค” ร.ต.เกียรติวงศ์ สถาวร หัวหน้าชุดปฏิบัติการรบพิเศษที่นำกำลังกรุยทาง ให้ ร.31 รอ. หวังยึดเนิน 350 พื้นที่สูงข่ม

ทว่า กลับพบว่า พื้นที่โดยรอบปราสาทตาควาย เต็มไปด้วยทุ่นระเบิดที่กัมพูชาวางไว้ ส่งผลให้“หมวดบุ๊ค” ขาขาด ช่วงค่ำ เหตุเกิด ช่วงค่ำ วันที่ 28 ก.ค. 2568 นับเป็น ครั้งที่ 3 ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด

ภายหลังข้อตกลงหยุดยิง ทหารไทยก็ยังต้องเผชิญกับทุนระเบิดอีกหลายนาย โดยครั้งที่ 4 เกิดขึ้นวันที่ 9 ส.ค. 2568 จ.ส.อ.ธานี พาหา ขาขาด 1 ราย บาดเจ็บรวม 3 รายที่รอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา จ.ศรีสะเกษ

ครั้งที่ 5 วันที่ 12 ส.ค. 2568 ส.อ.ธีรพล เพียขันที ขาขาด 1 นาย ที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ครั้งที่ 6 วันที่ 27 ส.ค. 2568 พลทหาร อดิศร ป้อมกลาง ขาขาด 1 นาย ที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์

แม้ช่วงที่ผ่านมา กัมพูชา ปฏิเสธและบิดเบือนข้อมูลมาตลอดว่าไม่ได้วางทุ่นระเบิดใหม่โจมตีทหารไทย แต่เป็นของเก่าตกค้างในอดีต 

ทว่า ฝ่ายไทยงัดหลักฐาน 8 ข้อ ผ่านการเปิดเผย พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงข้อเท็จจริงคณะทูตานุทูตและ ผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ ว่า ฝ่ายกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิดโจมตีฝ่ายไทยอย่างเป็นระบบ

1. รูปแบบการปฏิบัติทางยุทธวิธี ทุกครั้งที่กัมพูชาวางกำลัง บริเวณด้านหน้าจะพบแนวทุ่นระเบิดเป็นแนวป้องกัน เช่น ช่องบก (16 ก.ค.) ช่องอานม้า (23 ก.ค.) ปราสาทตาควาย (28 ก.ค.) ฐานกฤษณา (9 ส.ค.) และปราสาทตาเมือนธม (12 ส.ค.) โดยกำลังพลไทยที่ประสบเหตุพบว่าในพื้นที่มักมีทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มเติมอีก 3–5 ลูก ทั้งที่ระเบิดแล้วและยังไม่ระเบิด ซึ่งถูกวางอย่างเป็นระบบ

2. ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ มีเพียงฝ่ายไทยและกัมพูชา แต่เหตุการณ์ทั้งหมด 5 ครั้ง มีเพียงฝ่ายไทยที่ได้รับผลกระทบ จึงไม่อาจเป็นไปได้ว่าไทยจะทำร้ายกำลังพลของตนเอง

3. การตรวจพบเพิ่มเติมหลังหยุดยิง การสถาปนาความมั่นคงโดยทหารช่างที่ภูมะเขือ (4 ส.ค.) พบการซุกซ่อนทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวนมากในแนวกำลังเดิมของฝ่ายกัมพูชา

4. หลักฐานจากสื่อสังคมออนไลน์ พบภาพอินฟลูเอนเซอร์กัมพูชาที่ไปถ่ายทำคอนเทนต์บริเวณปราสาทตาควาย โดยมีพวงทุ่นระเบิด PMN-2 ปรากฏอยู่ในภาพ

5. ข้อมูลจากแหล่งข่าว มีคลิปพร้อมเสียงสนทนาของทหารกัมพูชาที่กำลังเก็บและเคลื่อนย้ายทุ่นระเบิด PMN-2 เพื่อไปวางในพื้นที่ใหม่

6. ท่าทีในเวที GBC กัมพูชาไม่ยอมรับข้อเสนอของไทยในการร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด ทั้งที่กัมพูชามีภาพลักษณ์ในสายตานานาชาติว่าเป็นประเทศต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด และได้รับทุนสนับสนุนจำนวนมากในแต่ละปี

7. การเก็บกู้ในพื้นที่เสี่ยงแล้วเสร็จ ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) เคยเก็บกู้ทุ่นระเบิดตกค้างที่ช่องบกและช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ.2019 จำนวน 1,300 ลูก และไม่พบว่ามีทุ่นระเบิดชนิด PMN-2

8. การไม่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้  TMAC ระบุว่าฝ่ายกัมพูชามักไม่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในหลายพื้นที่ใกล้แนวเส้นเขตแดน ซึ่งเป็นข้อพิรุธที่สะท้อนถึงความไม่โปร่งใสของฝ่ายกัมพูชา

ตัดกลับมาปัจจุบัน ภายหลัง นายกฯไทย อนุทิน ชาญวีรกูล และนายกฯกัมพูชา พล.อ.ฮุน มาเนต ลงนามปฏิญญานำไปสู่สันติภาพ โดยมีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กับอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประธานอาเซียน เป็นสักขีพยาน เป้าหมายลดความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา

การเก็บกู้ทุ่นระเบิด เป็นหนึ่งในเงื่อนไขในปฏิญญาสันติภาพ วันที่ 31 ต.ค.2568 ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ TMAC หารือศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา (CMAC) เบื้องต้นฝ่ายไทยกำหนด 13 พื้นที่เสี่ยง ต้องดำเนินการให้เห็นเป็นรูปธรรม ในเวลา 3 เดือน

กองทัพภาค 1 กองกำลังบูรพาจำนวน 3 พื้นที่ คือ บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง และบ้านเนินสมบูรณ์ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว

กองทัพภาค 2 กองกำลังสุรนารี 6 พื้นที่ คือ ช่องบก ช่องอ่านม้า จ.อุบลราชธานี ช่องกร่าง ช่องเหว ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ และบ้านสายโท 10 ใต้ จ.บุรีรัมย์ 

กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด 4 คือ บ้านตะกาง บ้านคลองม่วง ตราด บ้านชำราก เมือง บ้านโขดทราย จ.ตราด

ภายใต้เงื่อนไข 13 พื้นที่เสี่ยง ฝ่ายไหนยึดครองพื้นที่ต้องทำหน้าเก็บกู้ แน่นอนว่า“ปราสาทตาควาย” อยู่ในการควบคุมฝ่ายกัมพูชา

“เรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด หากอยู่ในพื้นที่ของฝ่ายใด ให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้เก็บกู้ทุ่นระเบิด ส่วนจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าฝ่ายกัมพูชาจะเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ เช่น ปราสาทตาควาย และพื้นที่โดยรอบนั้น จะมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน AOT ลงพื้นที่จริง ไปดูว่ามีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดจริงหรือไม่” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม ระบุ

ทั้งนี้ จากข้อมูลของฝ่ายไทย การวางทุ่นระเบิดในอดีต มีลักษณะเป็นรูปแบบ สามารถคำนวนทิศการเก็บกู้ได้ แต่การวางทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ไม่มีรูปแบบ หรือหลักเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น การเก็บกู้จึงเป็นไปด้วยความลําบาก ต้องอาศัยยุทโธปกรณ์หนัก รถแทรกเตอร์หุ้มเกราะ กรุยพื้นที่ เหยียบทุ่นระเบิดให้ทำงาน ลดความเสี่ยงกำลังพล

ดังนั้น ต้องจับตาพื้นที่ปราสาทตาควาย ซึ่งอยู่ในการควบคุมของกัมพูชา เพราะที่ผ่านมาก็ปฏิเสธมาตลอด ว่าไม่ได้วางทุ่นระเบิดใหม่ชนิด PMN-2 จะเคลียร์พื้นที่นี้อย่างไร เพราะคนวางก็จำไม่ได้ ว่าวางไว้จุดไหนบ้าง ไม่สามารถให้ข้อมูลกับคนทำหน้าที่เก็บกู้ 

ส่วนจะใช้ยุทโธปกรณ์หนัก กรุยพื้นที่เหมือนฝ่ายไทย หากมีเสียงตูมตาม จะกลายเป็นหลักฐานชั้นดี มัดกัมพูชา ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งจะมีการประชุม พ.ย.2568 นี้