ได้แค่ ‘หนูถีบจักร’

ได้แค่ ‘หนูถีบจักร’

ความคึกคัก รีเฟรชของ “อนุทิน” จริงๆ แล้วไม่ต่างอะไรกับ “หนูถีบจักร” ทำไปสักพักก็จะเหนื่อยฟรี รวมถึงประชาชนที่รอลุ้นอยู่ด้วย หรือไม่ฝ่ายการเมืองก็เริ่มออกลาย

การมีรัฐบาลใหม่ กำลังสร้างความหวังใหม่ๆ ให้กับประชาชนคนไทย และคอการเมือง

ด้านหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลเพื่อไทยมีอุปสรรคในการทำงานแทบทุกเรื่อง จนไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันเลยตลอด 2 รัฐบาล ใช้นายกฯไป 2 คน

แต่การมีรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นในทิศทางของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ตลอดจนความมั่นคง คือปัญหาไทย-กัมพูชา รวมถึงการเผชิญกับภูมิรัฐศาสตร์โลก

แม้ “นายกฯอนุทิน” จะสร้างมิติใหม่ด้วยการพา “ว่าที่ ครม.เศรษฐกิจ” เข้าพบ หารือ รับฟังความคิดเห็นของเอกชน 3 สถาบัน คือ สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ตั้งแต่ยังไม่แถลงนโยบาย ซึ่งถือเป็นเรื่องดี

แต่หลังฉาก หรือเบื้องหลังของรอยยิ้มของเอกชน ซึ่งเป็นภาคธุรกิจ ต้องเชื่อมโยงค้าขาย และแข่งขันกับโลก รู้ดีว่าประเทศไทยยังมองไม่เห็นอนาคตจากรัฐบาลชุดใหม่เลยแม้แต่น้อย

ประเทศไทยอยู่ในภาวะ “สตาร์ตไม่ติด” เหมือนรถเก่าๆ ที่เครื่องยนต์มีปัญหา ไม่ว่าจะได้คนขับคนไหนมา ก็ไปต่อไม่ได้

ความคึกคัก รีเฟรชของ “เสี่ยหนู อนุทิน” จริงๆ แล้วไม่ต่างอะไรกับ “หนูถีบจักร” ทำไปสักพักก็จะเหนื่อยฟรี รวมถึงประชาชนที่รอลุ้นอยู่ด้วย หรือไม่ฝ่ายการเมืองก็เริ่มออกลาย (อีกไม่นาน)

ต่างชาติมองไทยอยู่ในช่วง “ฮอลิเดย์ยาว” เพราะไม่มีความแน่นอนใดๆ เลย แม้จะมีรัฐบาลชุดใหม่ แต่ก็อยู่แค่ระยะสั้นๆ และไม่มีความแน่นอน หรือคาดการณ์ไม่ได้เลยว่า เมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น พรรคไหนจะมีโอกาสกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

เพราะระบบการเมืองไทย พรรคที่ชนะเลือกตั้งอาจไปเป็นฝ่ายค้าน พรรคอันดับ 1 และอันดับ 2 ก็เคยจับมือกัน แต่เป็นรัฐบาลไม่ได้มาแล้ว ทั้งๆ ที่มีเสียง สส.รวมกันราวๆ 3 ใน 5

เมื่อคาดการณ์อะไรไม่ได้ นักลงทุนต่างชาติก็แขวนป้าย “ฮอลิเดย์” ซึ่งหมายถึง “หยุดยาวประเทศไทย”

อีกมุมหนึ่งของหลังฉากประเทศไทย ที่ลึกกว่าความรู้สึกของภาคเอกชน คือ แท้จริงแล้วเรากำลังเผชิญกับ “3 วิปริต” ซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่าวิกฤติ เพราะมองไม่เห็นทางออกเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากทุกอย่างพันกันไปหมด เหมือนงูกินหาง

1.วิปริตการเมือง ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยในลักษณะเป็น “รัฐบาลเฉพาะกิจ” แต่กลับผิดหลักการของการเป็น “รัฐบาลเฉพาะกาล” ต่างชาติดูข่าวแล้ว ไม่รู้ว่าประเทศไทยกำลังเล่นอะไรกันอยู่

โดยปกติ “รัฐบาลเฉพาะกาล” จะเข้ามาทำเฉพาะเรื่องสำคัญๆ เพื่อเตรียมพร้อมสู่เลือกตั้ง แต่รัฐบาลภูมิใจไทยไม่ได้ทำแบบนั้น กลับตั้ง ครม.เต็มรูปแบบ และเตรียมนโยบายที่จะขับเคลื่อนแบบเต็มพิกัด

มีการทำสัญญาทางการเมืองที่เรียกว่า MOA โดยที่คู่สัญญาไม่ได้มาร่วมเป็นรัฐบาลด้วย ทำให้เกิดภาวะ “การเมืองครึ่งบกครึ่งน้ำ” ฝ่ายค้านไม่ได้เป็นฝ่ายค้าน กลายเป็น “ฝ่ายค้ำ” แต่จะสนับสนุนรัฐบาลก็ไม่เสียคะแนน มันอลหม่านไปหมด

“รัฐบาลเฉพาะกาล” ไม่ได้มาจากการยอมรับร่วมกันของสภา หรือฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อตั้งรัฐบาลชั่วคราวฝ่าวิกฤติ แต่เป็นการ “พลิกขั้ว” ทำให้รัฐบาลเดิมเป็นฝ่ายค้าน จึงกลายร่างเป็น “ฝ่ายแค้น”

การเมืองจึงกลายเป็นเรื่อง “จ้องล้างแค้น” ทั้งกับรัฐบาลภูมิใจไทย และกับฝ่ายค้านด้วยกันเองอย่างพรรคประชาชน เพราะไปสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล (จนเป็นฝ่ายค้านครึ่งบกครึ่งน้ำ หรือ “ฝ่ายค้ำ”)

“รัฐบาลเฉพาะกาล” เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งมีนัยต่อการเมือง เพราะการเมืองไม่ได้นิ่งรอยุบสภา แต่เป็นการเมืองที่ยังฟาดฟันกันไม่เลิก และกดดันกันด้วยเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคประชาชน คือ ต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ฉะนั้นการเมืองจึงไม่นิ่ง ไม่มีเสถียรภาพ และไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นที่แท้จริงให้กับประชาชนคนไทยและประชาคมโลกได้ อย่างทิศทางล่าสุดของ “กูรูการเมือง” ขณะนี้ วิเคราะห์ตรงกันว่า อาจมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล หรืออย่างน้อย “ปรับครม.” ก่อนถึงเดือนธันวาคม!!

 2.วิปริตนโยบาย เพราะนโยบายของรัฐบาลภูมิใจไทยที่เตรียมแถลง มุ่งเน้นประชานิยม และหวังผลเฉพาะหน้าเรื่องการเลือกตั้งแบบ 100% ไม่ว่าจะเป็น “คนละครึ่ง พลัส” “ลดค่าทางด่วน” “หวยเกษียณ” ที่เปลี่ยนชื่อเรียกเป็นชื่ออื่น

นโยบายเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้ง โดยทำกติกาการเลือกตั้งให้เป็นที่ยอมรับในเบื้องต้น เพื่อเปลี่ยนผ่านการเมืองให้ยั่งยืน กลับไม่มีการดำเนินการเลย หนำซ้ำการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการทำประชามติ ยังถูกมองว่าอาจมีการวางกลลวง หรือเล่นการเมืองย้อนเกล็ดกันอีกต่างหาก

มีการไหลเวียน ถ่ายเทของ สส.กลุ่มก๊วนต่างๆ จากพรรคหนึ่ง ไปอีกพรรคหนึ่ง ทั้งในระดับพื้นที่และระดับชาติ โดยพรรคที่เคลื่อนไหวคึกคัก เปิดบ้าน เปิดประตูรอรับมากที่สุด คือพรรครัฐบาลที่อยู่ในอำนาจ คือ ภูมิใจไทย กับ กล้าธรรม

การจัดวางตำแหน่งทางการเมือง โควตารัฐมนตรี มุ่งเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มมุ้งการเมือง เพื่อวางเกมยาวสู่การเลือกตั้งแบบ “ผู้ชนะกินรวบ” หรือ Winner-take-all โดยไม่ได้วางบุคลากรเพื่อเตรียมการสำหรับปรับโครงสร้างประเทศในระยะยาว (ทั้งๆ ที่ตัวเองก็คิดจะกลับมาเป็นรัฐบาลต่อ)

สรุปก็คือ การตั้งรัฐบาลภูมิใจไทย ได้ประโยชน์เฉพาะเรื่องการเมือง แต่ปิดประตูตายในเรื่องเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น แม้จะพยายามดึง “เทคโนแครต” มือดีเข้ามาก็ตาม

 3.วิปริตความยุติธรรม ระบบกฎหมายและการตัดสินคดีต่างๆ ในบ้านเรา โดยเฉพาะคดีการเมือง ไม่ได้อิงตามหลักการสากล

คำตัดสินหลายๆ คดีการเมือง หรือตีความประเด็นการเมืองหลายๆ ประเด็น มีลักษณะอธิบายให้ต่างชาติเข้าใจไม่ได้ หรือแม้แต่คนไทยเองก็ยังงง กลายเป็น “ระบบแบบไทยๆ“ ที่ไม่มีใครในโลกเข้าใจเลย

องค์กรตุลาการบางองค์กรมีอำนาจเหนือองค์กรอื่นทุกองค์กร รวมถึงองค์กรที่เป็นตัวแทนประชาชนจากการเลือกตั้ง

อำนาจอธิปไตยมี 3 อำนาจ แต่อำนาจตุลาการมีพลังมากที่สุด และควบคุมอีก 2 อำนาจ จนไม่มีอิสระในการทำหน้าที่ของตน

นิติสงครามขยายวงจนเป็นอุปสรรคในการเดินหน้ารัฐบาล และเดินหน้าประเทศ รวมทั้งกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการเตะอีกฝ่ายให้ตกจากอำนาจ

จาก 3 วิปริต นำมาสู่ วิกฤติประเทศไทยที่ยังมองไม่เห็นทางออก นอกจากพายเรืออยู่ในอ่าง วนเวียนไปแบบนี้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด!