ระวังมีคนผิดนัด ประวัติศาสตร์ 9 ก.ย.

ระวังมีคนผิดนัด  ประวัติศาสตร์ 9 ก.ย.

หากผลของคดีทักษิณ พลิกไปอีกด้าน และหน้าตารัฐบาลใหม่สร้างความผิดหวังมากกว่าสมหวัง การเมือง "สามเหลี่ยมมรณะ" ก็จะยังเดินหน้าต่อไป และรอการจับมือ จับขั้ว หักหลังกันรอบใหม่ ต่อไปอีก

การเมืองจังหวะนี้วิเคราะห์ยาก เพราะมีปัจจัยผันแปรมาก โดยเฉพาะช่วง 3 วันแห่งความอ่อนไหว กับความพยายามพลิกเกม

ผมชอบวลี “สามเหลี่ยมมรณะ” ของ อาจารย์โอฬาร ถิ่นบางเตียว จากมหาวิทยาลัยบูรพา ที่ใช้อธิบายการเมือง “สามก๊กแบบไทยๆ” ใครหักหลังใครก่อน ไปจับมือกับอีกก๊ก ก็จะได้อำนาจไป ส่วนอีกก๊กที่เหลือก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

และวันนี้การหักกันครั้งที่ 2 ได้เกิดขึ้นแล้ว คือ “ก๊กส้ม” กับ “ก๊กน้ำเงิน” โดยชิง “จังหวะนรก” ช่วง “ก๊กสีแดง” กำลังระส่ำระสายจากคดีคุณอุ๊งอิ๊ง ซึ่งพ่ายแพ้ “เกียรติภูมิชาติ” ไปอย่างหมดรูป และยังมีคดีคุณทักษิณ เป็นกับดักรออยู่อีกในวันที่ 9 ก.ย. ทำให้ “ก๊กส้ม” สมรมกับ “ก๊กน้ำเงิน” เกิดเป็นรัฐบาลอนุทิน

ที่บอกว่าครั้งที่ 2 เพราะมีการชิงจังหวะนรก หักหลังกันไปแล้ว 1 ครั้ง ตอนที่พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ครั้งนั้น “ก๊กแดง” จับกับ “ก๊กน้ำเงิน” ทำให้ “ก๊กส้ม” เป็นฝ่ายค้าน ทั้งๆ ที่ชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1

ส่วนที่ผมเกริ่นไว้ตั้งแต่บรรทัดแรกว่า การเมืองคาดเดายาก เพราะมีช่วง 3 วันของความอ่อนไหวรออยู่ ผมจึงอยากเรียกห้วงเวลานี้ว่า “3 วันมรณะ” คล้ายๆ “สามเหลี่ยมมรณะ” ส่วนใครจะ “มรณา” ทางการเมือง ก็ต้องรอดู อีกไม่กี่อึดใจ

และเมื่อมันเป็น 3 วันของความอ่อนไหว การวิเคราะห์หรือคาดเดาทิศทางการเมืองจึงค่อนข้างยาก ผมจึงขอนำความเคลื่อนไหวเท่าที่สืบเสาะมาได้ มาเล่าให้ฟัง จากนั้นก็ขึ้นกับคุณผู้อ่านเองว่า จะเลือกเชื่อแนวทางใด

โดยเฉพาะ คุณทักษิณจะกลับไทยหรือไม่กลับ รวมถึงพรรคเพื่อไทยกำลังถูกย่อยสลาย จนกลายเป็นพรรคหลักสิบหรือเปล่า แล้วรัฐบาลของคุณอนุทิน จะปฏิบัติตามสัญญา หรือหาช่องทางบิดพลิ้วพรรคประชาชนกันแน่

สาเหตุที่ 3 วันนับจากนี้เป็น “3 วันมรณะ” ที่ต้อง “ชิงจังหวะนรก” กันอีกรอบ ก็เพราะ…

หลังจาก “นายกฯอนุทิน” รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไป “นายกฯหนูป้ายแดง” ก็ต้องตั้ง ครม.ใหม่ ซึ่งเจ้าตัวเพิ่งแย้มล่าสุดว่า เรียบร้อยแล้วทุกตำแหน่ง 100% ถือว่าว่องไว สมกับเป็นรัฐบาลที่เข้ามาทำงานแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และเตรียมตัว “อยู่ไม่นาน” จริงๆ

ขั้นตอนถัดจากนั้นก็คือการพา ครม.ใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งตามข่าวลือก่อนหน้านี้ คาดการณ์กันว่าจะเป็นวันที่ 9 ก.ย.

วันเดียวกันนั้น จะมีการนัดอ่านคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งตั้งองค์คณะไต่สวนว่า อดีตนายกฯทักษิณ รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาแล้วหรือยัง

“เจ้าสำนักทฤษฎีสมคบคิด” จึงวิจารณ์กันให้แซ่ดว่า ถ้าเกิดมีการพา ครม.ใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณในวันนั้น และเกิดศาลมีคำสั่งให้อดีตนายกฯทักษิณ กลับไปรับโทษตามคำพิพากษา คือ ไปเข้าเรือนจำ จะเท่ากับเป็นการ “ปิดยุคการเมืองชินวัตรและพรรคเพื่อไทย” พร้อมเปิดยุค “การเมืองพรรคภูมิใจไทย” ในวันเดียวกันไปเลย

สำหรับกรณี คุณทักษิณ นาทีนี้คนเชื่อว่า “ไม่กลับ” มากกว่า “กลับ” แม้จะมีคำยืนยันจากคนใกล้ชิดว่า คุณทักษิณส่งไลน์และโทรมายืนยันว่าจะกลับแน่ ถึงไทยวันที่ 8 ก.ย. ก่อนวันศาลนัด 1 วันก็ตาม

เพราะทันทีที่ตรวจสอบชื่อผู้ร่วมไฟลต์บิน เครื่องบินเจ็ตหรู มุ่งหน้าสู่ดูไบ ของอดีตนายกฯทักษิณแล้ว ปรากฏว่าหนึ่งในนั้น คือ “แม่ครัว” หรือ “กุ๊กมือดี” ที่ทำอาหารอร่อย คุณทักษิณติดใจในรสมือ เดินทางตามไปด้วย

ทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่า งานนี้ไปแบบ “วันเวย์ไฟลต์” คือ “อยู่ยาว”

หลายคนคาดว่า แผนเบื้องต้นของอดีตนายกฯ คือ รอฟังคำสั่งศาลฎีกานักการเมือง วันที่ 9 ก.ย. ถ้ารอดคุก ไม่ต้องกลับไปรับโทษในเรือนจำอีก ก็จะเตรียมเดินทางกลับไทย (อาจมาเฝ้าฟังคำสั่งที่สิงคโปร์ จะได้กลับบ้านได้เร็วๆ เพราะระยะทางใกล้กว่าดูไบมาก) จากนั้นค่อยคิดอีกทีว่าจะเดินหน้าการเมืองต่อไปอย่างไรหรือไม่

แต่ตามนิสัยของคุณทักษิณ ที่ไม่ยอมแพ้ และ “แพ้ไม่เป็น” ก็น่าเชื่อว่า จะกลับมาแก้แค้นภูมิใจไทยแน่นอน คือทำงานการเมืองต่อแน่ๆ

แต่ว่าถ้าผลของวันที่ 9 ก.ย. ออกมาอีกแบบหนึ่ง คือ ต้องกลับไปเข้าคุก ก็เชื่อว่าจะอยู่ต่างประเทศยาว และกลับมายาก หรือกลับมาไม่ได้อีกเลย เนื่องจากจะมีความผิดตามมาอีกเป็นหางว่าว เพราะต้องไม่ลืมว่าตัวเองได้ขอพระราชทานอภัยโทษ และได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ ไปแล้วด้วย

ส่วนการหาทางผ่องถ่าย เช่น กลับมารับโทษระยะสั้นๆ แล้วขอใช้ระเบียบ “นอนนอกคุก” เรื่องนี้อาจจะไม่ง่าย เพราะรัฐบาลเปลี่ยนโฉมหน้าเป็น ภูมิใจไทย เรียบร้อยแล้ว

ความเป็นไปได้ทั้งหมดนี้ เข้าใจว่า วันที่ 9 ก.ย.จะมีความชัดเจน เพราะการนัดของศาล เป็นการนัดฟัง “คำสั่ง” ไม่ใช่คำพิพากษา

กฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาตรา 40 เปิดช่องเอาไว้ ให้ศาลอ่านลับหลังได้เลย ถ้าจำเลยไม่มาตามนัด

มีเกร็ดประวัติศาสตร์การเมืองน่าสนใจ คือ วันที่ 9 ก.ย.2528 หรือเมื่อ 40 ปีที่แล้ว มีทหารกลุ่มหนึ่งพยายามยึดอำนาจ และสุดท้ายต้องกลายเป็นกบฏ เพราะมีบางคน บางกลุ่มไม่มาตามนัด จึงขนานนามเหตุการณ์ในวันนั้นว่า “กบฏไม่มาตามนัด”

ส่วนวันที่ 9 ก.ย.ปีนี้ จะมีใครไม่มาตามนัดหรือไม่ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้รู้... 

ฝ่ายคุณอนุทิน ตั้งแต่ก่อนพลิกเกมเป็นแกนนำรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล ต้องขนานนามท่านว่า “หนูเหนือเมฆ” เพราะเหาะมาแบบเซอร์ไพรส์จริงๆ

ยิ่งกว่านั้น จังหวะทางการเมืองของคุณอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย ต้องบอกว่าน่าสนใจ และวางแผนมาเป็นอย่างดี แต่ละย่างก้าวเต็มไปด้วยความสุขุม รัดกุม ไม่กระโตกกระตากเกินงาม แต่ก็ไม่ได้เนิบช้า เพราะปัญหาบ้านเมืองรอไม่ได้ ประกอบกับรัฐบาลของตัวเองประกาศสัญญาประชาคมไว้ว่า จะอยู่แค่ 4 เดือน

ในวงเล็บก็คือ ถ้าหากทำดี ประชาชนคนไทยอาจไม่อยากให้รีบไป หรือถ้าต้องไป (ยุบสภาตามสัญญา) เผลอๆ พรรคประชาชนอาจถูกด่า และเสียแต้มในการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วยซ้ำไป

ฉากแรกหลังรับเลือกจากสภาพเป็นนายกฯ คุณอนุทิน ไปกราบคุณพ่อ คือ “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย วัย 79 ปี ทำให้ได้ภาพความเป็นลูกกตัญญู ได้ใจคนในสังคมไทยไปเรียบร้อย

ฉากต่อมา คือ การเปิดตัว “ว่าที่ ครม.ใหม่” ซึ่งต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะศัตรูทางการเมือง และผู้คนในสังคมรอขย้ำซ้ำเติมอยู่ เนื่องจากรู้กันดีว่า การตั้งรัฐบาลแบบนี้ เก้าอี้รัฐมนตรีเหลือเฟือแบบนี้ เพราะพรรคประชาชนไม่ยอมร่วมวงใน ครม.ด้วย จะต้องมีรายการตอบแทนทางการเมืองแน่ๆ

รวมถึงการตั้งรัฐมนตรีในตำแหน่งอ่อนไหว และบุคคลอ่อนไหว เรียกรวมๆ ว่า “ตำแหน่ง และตัวบุคคล สายล่อฟ้า” อาจทำให้เกิดปัญหาตามมา นั่นก็คือ

 - รัฐมนตรีที่กำกับดูแลหน่วยงานที่ทำคดีฮั้ว สว. โดยเฉพาะ รมว.ยุติธรรม

 - รัฐมนตรีที่กำกับดูแลกรมที่ดิน ซึ่งต้องรับผิดชอบปัญหากรณีเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งก็คือ รมว. หรือ รมช.มหาดไทย

 - รัฐมนตรีที่กำกับดูแลการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณีเขากระโดงเช่นกัน นั่นก็คือ รัฐมนตรีคมนาคม

 - รัฐมนตรีนอมินี ที่เข้ามารับตำแหน่งแทน “คนหลังม่าน - ผู้มีอำนาจตัวจริง” ของกลุ่มการเมือง และพรรคการเมือง ซึ่งรัฐมนตรีเหล่านี้ มีหน้าที่แค่ “เก็บกล้วย - เก็บงาน” ให้ “บุคคลหลังม่าน” เท่านั้น

แต่การเดินเกมการเมืองฉากนี้ ถือว่า คุณอนุทิน ฉลาดมากที่ไม่เลือกเปิดโผ ครม.ในภาพรวมก่อน แต่เชิญบุคคลที่ตนเองทาบทามมาดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรีคนนอก” ใน 3 กระทรวงสำคัญ มาหารือที่พรรคภูมิใจไทย ซึ่งก็แน่นอนว่าสื่อมวลชนต้องได้เห็นด้วย และเท่ากับเป็นการเปิดตัวไปโดยปริยาย

ปรากฏว่า ทั้ง 3 คน หน้าตาไม่ขี้เหร่ ทุกคนได้รับการยอมรับอย่างสูงในสายงานของตนเอง มีความเป็นเทคโนแครต และหน้าตาดูดีกว่ารัฐมนตรีกระทรวงเดียวกันในรัฐบาลเพื่อไทย หนำซ้ำยังเชิญอดีตประธานที่ปรึกษา รมว.คลัง ยุคเพื่อไทย (คุณพิชัย ชุณหวชิร) มานั่งเป็น รมช.คลัง เพื่อโชว์ภาพไม่เลือกที่รักมักที่ชัง และไม่ใช้ “ความแค้นขับเคลื่อนงานการเมือง” แต่ยึดประเทศเป็นตัวตั้งอีกด้วย

ถือเป็นการใช้จังหวะก้าวทางการเมือง สร้าง First impression หรือ ความประทับใจแรกให้กับประชาชนได้เป็นอย่างดี คือยุทธศาสตร์ ชูจุดแข็ง เรียกกระแสสนับสนุนก่อน เดี๋ยวพอเปิดตัวรัฐมนตรีกลุ่ม “ต่างตอบแทน” เสียงต่อว่าก็จะเบาลง และน่าจะมีกระแสแนวๆ ให้โอกาสเพิ่มมากขึ้น  

หากวันที่ 9 ก.ย. รายชื่อ ครม.ใหม่ชัดเจน และนำขึ้นทูลเกล้าฯ (คงไม่ถึงขั้นนำ ครม.ใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณกันในวันนั้นเลย) และภาพลักษณ์ หน้าตาของ ครม.ชุดนี้ดีกว่าชุดเพื่อไทยอย่างเห็นได้ชัด

ประกอบกับคดีคุณทักษิณ ถ้าส่งผลลบตัวท่าน และท่านไม่กลับมารับโทษตามที่ที่ปรึกษาบางคนของท่านเสนอ (รับโทษระยะสั้น แล้วหาช่องทางใช้ระเบียบนอนนอกคุก จะได้จบ ไม่ต้องหนีอีกต่อไป) ก็จะเท่ากับว่า วันที่ 9 ก.ย. หรือไม่เกิน 3 วันมรณะนี้ การเมืองไทยจะพลิกเปลี่ยนไปเป็นฉากใหม่ คือ ปิดฉากชินวัตร เปิดฉากพรรคน้ำเงิน

แต่ถ้าผลของคดีคุณทักษิณพลิกไปอีกด้าน และหน้าตารัฐบาลใหม่สร้างความผิดหวังมากกว่าสมหวัง การเมืองสามเหลี่ยมมรณะก็จะยังเดินหน้าต่อไป และรอการจับมือ จับขั้ว หักหลังกันรอบใหม่...ต่อไปอีก