โอกาสทองของ 'ผู้นำใหม่' ขั้วอนุรักษนิยม

โอกาสทองของ 'ผู้นำใหม่' ขั้วอนุรักษนิยม

ในที่สุด “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับเสียงสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎร เป็น “นายกรัฐมนตรีคนที่ 32” ต่อจาก “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร

อย่างไรก็ตาม “อนุทิน” มีเวลาแค่ 4 เดือน บวกรักษาการหลัง “ยุบสภา” เท่านั้น ถ้าว่าตามข้อตกลงอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรกับ พรรคประชาชน (ปชน.) ที่เทคะแนนเสียงสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี อย่างมี “เงื่อนไข” หรือ ที่เรียกว่า “รัฐบาลเฉพาะกิจ”

กล่าวคือ นอกจากจะต้อง “ยุบสภา” ภายใน 4 เดือนแล้ว ยังมีเงื่อนไข ในกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติ การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ที่มาจาก “การเลือกตั้ง” โดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น

คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย จะเร่งผลักดันร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จในวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้โดยเร็ว เป็นหลักประกันว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือนจริง

โอกาสทองของ 'ผู้นำใหม่' ขั้วอนุรักษนิยม

และ พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใดๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก

โดยที่พรรคประชาชน จะไม่เข้าร่วมรัฐบาล และทำหน้าที่ฝ่ายค้านที่เข้มแข็งต่อไป

“อนุทิน” ยืนยันความพร้อม หลังสภาผู้แทนราษฎร ลงมติให้เป็นนายกรัฐมนตรีว่า ขณะนี้มีการฟอร์มคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าถ้าบอกยังไม่ได้ทำอะไรเลย แสดงว่าเราไม่ได้เตรียมพร้อม แต่ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาเปิดเผยกัน แต่ยืนยันใช้เวลาโดยเร็วอย่างแน่นอน

ส่วนเมื่อถาม พรรคร่วมรัฐบาลโอเคหรือไม่ “อนุทิน” กล่าวว่า “ผมโอเค เขาก็ต้องโอเค”

สำหรับ “อนุทิน” นอกจากมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับ “เนวิน ชิดชอบ”  “ครูใหญ่” แห่งพรรคภูมิใจไทย ตาม ประวัติอนุทิน ถือว่า เป็นนักการเมืองที่มีการศึกษาดี มีประสบการณ์ทางการเมือง และการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่น้อยคนหนึ่ง

เริ่มจาก สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ ระดับอุดมศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮอฟสตรา (Hofstra University)รัฐนิวยอร์ก สหรัฐ พ.ศ. 2532 และจบคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Mini MBA) เมื่อพ.ศ. 2533

โอกาสทองของ 'ผู้นำใหม่' ขั้วอนุรักษนิยม

ชีวิตส่วนตัว สมรสกับ สนองนุช (สกุลเดิม วัฒนวรางกูร) เมื่อพ.ศ. 2533 มีบุตร 2 คน คือ นัยน์ภัค และเศรณี ชาญวีรกูล ต่อมาในพ.ศ. 2556 เขาได้หย่ากับสนองนุช และสมรสใหม่กับศศิธร(สกุลเดิม จันทรสมบูรณ์)รองกรรมการผู้จัดการ แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท แอนด์ คันทรีคลับ ปากช่อง ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2562 อนุทินได้หย่ากับศศิธร อีกสามปีต่อมาเขาเปิดตัวสุภานัน นิรามิษ (เปลี่ยนชื่อเป็น "ธนนนท์") ซึ่งเป็นคู่รักคนปัจจุบัน

 บทบาททางการเมือง เริ่มจาก พ.ศ. 2539 เข้าสู่วงการการเมืองโดยการรับตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ประจวบ ไชยสาส์น) ก่อนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ต่อมาถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารของพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549

 หลังพ้นกำหนดการตัดสิทธิทางการเมืองเมื่อพ.ศ. 2555 ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ที่ขณะนั้นหัวหน้าพรรค คือ “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” ผู้เป็นบิดาที่ย้ายมาจากพรรคพลังประชาชนร่วมกับ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” และเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม “อนุทิน” ได้รับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคต่อจากบิดา

จากนั้น การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ. 2557 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 1 แต่การเลือกตั้งเป็นโมฆะ

 และในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 เขาได้รับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 1 และได้รับการเสนอชื่อเป็นบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอชื่อต่อรัฐสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งหลังการเลือกตั้ง “อนุทิน” และพรรคภูมิใจไทย ได้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ และสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเป็นสมัยที่ 2 โดยเขาได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

มาถึง การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 เขาได้รับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 1 และได้รับการเสนอชื่อเป็นบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอชื่อต่อรัฐสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และหลังการเลือกตั้ง พรรคภูมิใจไทยประกาศไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรค ที่มีนโยบายแก้ไข ป.อาญา ม. 112 และไม่จัดตั้งหรือสนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อย

โอกาสทองของ 'ผู้นำใหม่' ขั้วอนุรักษนิยม

กระทั่งเมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยจึงเข้าร่วมรัฐบาล จากนั้นเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ทั้งยังควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอีกตำแหน่งหนึ่ง จนทำให้ปลายปีผู้สื่อข่าวสายทำเนียบตั้งฉายาให้ว่ารัฐบาล “แกงส้มผักรวม” สื่อความหมายถึง การฉีกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ล้มพรรคส้ม (ก้าวไกล) แล้วมารวมกับภูมิใจไทยตั้งรัฐบาลแทน

“อนุทิน” กล่าวขณะเป็นรัฐมนรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า “ผมเป็นคนทำงานวันนี้ สั่งงานวันนี้ ต้องเสร็จเมื่อวาน เพราะงั้นก็ขอให้ทุกคนได้มีความมั่นใจ” ทำให้วลีดังกล่าวเป็นกระแสในสื่อสังคม

หลังจากนั้นในการประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล ลาดพร้าว เขามอบหมายให้ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้คัดกรองบุคคลที่ดำรงตำแหน่งในส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ “ชาดา” เคยถูกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จับตามองในฐานะผู้มีอิทธิพลและเคยถูกเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตามคำสั่ง คสช. ตรวจค้นบ้านในพ.ศ. 2560

ประเด็นที่น่าสนใจหลังจากนี้ รัฐบาล “เสี่ยหนู” ถือว่า ท้าทายต่อการยืนหยัดอยู่ในอำนาจอย่างมาก เพราะมีทั้ง “กรอบ” ที่ตกลงร่วมกับพรรคประชาชน ขีดเส้นให้เดิน มีทั้ง “แค้นฝังหุ่น” จากพรรคเพื่อไทย ที่ “จองกฐิน” ไล่บี้ไม่ให้หายใจหายคอสะดวก ที่สำคัญคดีต่างๆ ที่แกนนำพรรคภูมิใจไทยถูกกล่าวหา และมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะถูกศัตรูทางการเมืองนำมาเป็นประเด็นโจมตี และจ้องจับผิดมากขึ้น

โดยเฉพาะที่กำลังอยู่ในกระแส ก็มีเรื่องคดีฮั้วเลือก “ส.ว.” เรื่องที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ที่จนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่มีการประกาศเพิกถอนเอกสารสิทธิ์จากอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ และกรณีรีสอร์ตและสนามกอล์ฟที่เขาใหญ่ ของ “อนุทิน” ทับที่ดินปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ส.ป.ก.) หรือไม่

เรื่องนี้ “อนุทิน” ชี้แจงว่า เป็นสนามกอล์ฟในกิจการของครอบครัว และเท่าที่ทราบการได้มาของที่ดินสนามกอล์ฟแปลงนี้ได้มาโดยสุจริต มีโฉนด มีเอกสารสิทธิถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่ได้มาก่อนแล้วค่อยไปออกโฉนด เพราะที่ดินแปลงนี้ได้มาเป็น 10 ปีแล้ว หลังจากนี้ก็ให้เป็นเรื่องของการตรวจสอบ

ในทางการเมือง การได้มาซึ่ง “อำนาจรัฐ” ของ “อนุทิน” ในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” และพรรคภูมิใจไทย ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แบบ “ส้มหล่น” ทับทั้งพรรค โดยไม่หวังตำแหน่งอย่างนี้ คงหาไม่ได้อีกแล้ว?

สิ่งที่ “อนุทิน” และพรรคภูมิใจไทย จะต้องพิสูจน์ตัวเอง ก็คือ การใช้ความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศให้เข้าตาประชาชน แม้ในเวลา 4-7 เดือน(บวกรัฐบาลรักษาการ) ก็ตาม ถือเป็น “โอกาสทอง” ที่ต้องรีบโกยคะแนนนิยมให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้

ส่วนกระบวนการที่นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามข้อตกลง ตราบใดที่ยังเดินตามข้อตกลง เชื่อว่า พรรคประชาชนจะคอยหนุนหลังจนกว่าจะสำเร็จ ซึ่งไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ แม้ว่าพรรคเพื่อไทย อาจเป็นก้างขวางคอชิ้นสำคัญอยู่ก็ตาม

ที่น่าวิเคราะห์ในกว่านั้น ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่เป็นการต่อสู้ระหว่าง “3 ก๊ก” และ “สองขั้ว” ทางการเมือง คือ ก๊กพรรคประชาชน ก๊กพรรคภูมิใจไทย และก๊กพรรคเพื่อไทย ส่วน “สองขั้ว” ก็คือ ขั้ว “เสรีประชาธิปไตย” และขั้ว “อนุรักษนิยม”

การที่ “อนุทิน” ได้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ อาจถือว่า เป็นการเปลี่ยน “ผู้นำ” ฝ่ายอนุรักษนิยม ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม จากเดิมที่วิเคราะห์กันว่า “ทักษิณ” คือคนที่ถูกเลือก ให้เป็น “ผู้นำ” ฝ่ายอนุรักษนิยม หลังมี “ดีล” ข้ามฟากจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 ขณะเดียวกัน การก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้นำใหม่” ของ “อนุทิน” ยังอยู่ในจังหวะเวลาที่พรรคเพื่อไทย เสียคะแนนนิยมทางการเมืองอย่างมาก ซึ่งวิเคราะห์กันว่า ฐานเสียงการเมืองของพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยก็คือฐานเดียวกัน ทับกันอยู่ในหลายพื้นที่ ซึ่งจะมีผลต่อที่นั่งส.ส.ในสภาฯอย่างแน่นอน

โอกาสทองของ 'ผู้นำใหม่' ขั้วอนุรักษนิยม

 ขณะที่พรรคประชาชน หรือ “พรรคส้ม” แม้ว่า จะมีกระแสนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง แต่การที่พรรคมีท่าทีต่อ “กองทัพ” ที่ติดลบ สวนกระแส “รักทหาร” และ “ชาตินิยม” จากกรณีสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ทำให้กระแสนิยมพรรคส้มสะดุดลง และเชื่อว่ายากจะดีขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ตราบที่ฝ่ายการเมือง ยังต้องพึ่งกองทัพ ในการแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา เป็นหลัก

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นโอกาสทอง ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ที่จะพิสูจน์ว่า เป็นนายกรัฐมนตรีได้ อย่างไม่มีข้อบกพร่องหรือไม่? เพื่อโอกาสวันข้างหน้า และถ้าทำได้ดี ก็จะส่งผลต่อกระแสนิยมพรรคภูมิใจไทยโดยปริยาย

 เว้นแต่ “อำนาจ” ทำให้นักการเมือง “หลงเหลิง” มัวเมาในผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่เห็นหัวประชาชน โอกาสทองก็ไร้ค่า แถมอาจเป็น “จุดจบ” ของฝ่ายอนุรักษ์ในประเทศไทยไปเลย ก็ไม่แน่เหมือนกัน?