แม้รอดคดี... ก็หนีไม่รอด

แม้นายกฯ อดีตนายกฯ จะรอดคดี แต่ก็หนีไม่รอด 10 ปัญหาทุกขลาภของรัฐบาลเเพทองธาร ที่ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หากทำงานภายใต้ปัจจัยสถานการณ์ และข้อจำกัดปัจจุบัน
คดี 112 ของอดีตนายกฯ ทักษิณ เป็น 1 ใน 3 คดีที่รุมเร้า “สองพ่อลูกชินวัตร” ซึ่งรู้กันดีว่า คนหนึ่งเป็นนายกฯตัวจริง และอีกคนเป็นนายกฯหน้าฉากของประเทศไทยอยู่ในขณะนี้
กูรูการเมืองหลายคนมองทั้ง 3 คดีเป็นแพ็กเดียวกัน เพราะเชื่อเรื่อง “ดีลลับกลับไทย” ของอดีตนายกฯ เมื่อสองปีก่อน (22 สิงหาคม 2566) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผลมาจาก “ดีลลับลังกาวี” และทำให้การเมืองไทยอยู่ในภาวะ “ผิดปกติ” มาตลอดจนถึงปัจจุบัน
ตัวอย่างล่าสุดที่เห็นตำตาก็เช่น แม้แต่มีสถานการณ์สงคราม ก็ยังไม่ยอมตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฯลฯ
ฉะนั้น หากเชื่อว่า “ดีลลับกลับไทย” มีจริง และยังมี “คนกำกับดีล” คอยบังคับวิถีให้ทุกอย่าง “ไม่ผิดดีล” ย่อมทำให้หลายคนคิดไปในทำนองว่า คดีแต่ละคดีน่าจะเป็นการ “พิสูจน์ดีล” ไปในตัวด้วยนั่นเอง
จึงมีกระแสข่าวมาตลอดว่า หากอดีตนายกฯทักษิณรอดคดี 112 ก็น่าจะมีความมั่นใจมากขึ้น และคงให้ลูกสาว “ลุยไฟ” ไปฟังคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียงฮุนเซน เนื่องจากอดีตนายกฯทักษิณก็ย้ำทุกเวที ทุกวงสนทนา และกับทุกคนที่ได้คุยด้วยว่า “รอดแน่นอน - ไม่มีปัญหาแน่ๆ”
และหากทุกอย่างเป็นไปตามที่คิด คดีที่น่ากังวลที่สุดก็จะเป็นคดีชั้น 14 ซึ่งองค์คณะไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำสั่ง วันที่ 9 กันยายน ซึ่งอดีตนายกฯทักษิณ เชื่อว่า เลวร้ายที่สุดที่ตนต้องเจอ คือ องค์คณะของศาลชี้ว่า การย้ายตัวเขาไปพำนักที่โรงพยาบาลตำรวจ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยระเบียบกฎหมาย แต่ผู้ที่ต้องรับผิดชอบคือ “ข้าราชการ” ไม่ใช่ตัวอดีตนายกฯในฐานะผู้รับผลของการกระทำ
แต่นั่นคือการประเมินในแง่บวกจากทั้งฝั่งคุณทักษิณและพวกเท่านั้น เพราะฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามทางการเมือง ก็เห็นว่า มีโอกาสสูงที่คดีของ “สองพ่อลูก” จะรอด 1 และร่วง 2
คดีที่รอด ได้แก่ คดี 112 ซึ่งก็รอดไปแล้ว และไม่ได้เกี่ยวกับ “ดีลลับ” แต่เป็นเพราะพยานหลักฐานไม่ชัดเจน ฝ่ายโจทก์ ผู้ฟ้อง ไม่สามารถหาคลิปฉบับเต็มมายืนยันได้ และคำพูดของอดีตนายกฯก็ไม่ชัดเจนว่าหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นที่รู้กันใน “วงใน” อยู่แล้ว คนที่ทราบข้อมูลมาตลอดก็ไม่แปลกใจกับคำพิพากษาที่ออกมา
ส่วนคดีนายกฯแพทองธาร เชื่อกันว่า “ไม่น่ารอด” เพราะหากปล่อยให้ทำหน้าที่ต่อไป จะเกิดวิกฤติศรัทธาต่อรัฐบาลหนักขึ้นไปอีก รวมถึงจะส่งผลต่อกระบวนการยุติธรรม และความรู้สึกชาตินิยมของพี่น้องประชาชนด้วย
เช่นเดียวกับคดีชั้น 14 ฝ่ายที่อยู่กลางๆ และฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองก็ประเมินว่าไม่น่ารอด ส่วนจะถึงขั้นถูกสั่งให้กลับไปติดคุกใหม่หรือไม่ ต้องรอลุ้นฟังคำสั่ง แต่มีการส่งสัญญาณถึงขนาดว่า การจะเดินลอยชายกลับบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้น ไม่น่ามีจริง
เพราะเท่ากับกระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะ “ศาลไทย” ง่อยเปลี้ยเสียขา ถูกท้าทาย รู้ทั้งรู้ กันทั้งประเทศว่าความจริงคืออะไร แต่ “ศาล” ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตย กลับทำได้แค่มองตาปริบๆ ไต่สวนแล้วเก็บฉาก
ข้อวิเคราะห์นี้ตรงกับ คุณเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.ประชาธิปัตย์ ซึ่งผันตัวเป็นนักวิเคราะห์ทางการเมือง ซึ่งเชื่อว่าคดีของสองพ่อลูก จะ “รอด 1 ร่วง 2”
แนววิเคราะห์ที่ว่านี้ยังตรงกับ “ทีมยุทธศาสตร์” ของพรรคสีแดง ที่ประเมินกันวงในว่า คดีนายกฯอิ๊งค์ ตัวเลขจริงๆ ยังอยู่ที่ 7 ต่อ 2 คือ ไม่รอด ส่วนตัวเลข 5 ต่อ 4 เป็นตัวเลขเป้าหมายที่จะพลิกมารอด แต่ก็ยังต้องลุ้นกันรายวัน รายชั่วโมง
ส่วนคดีชั้น 14 ดูจากทิศทางลม และผลกระทบที่จะเกิดกับหลักนิติธรรมของประเทศ ตลอดจนความเหลื่อมล้ำทางความยุติธรรมในบ้านเมืองแล้ว อาจทำให้ผลของคำสั่งที่ออกมา เป็นลบมากกว่าที่คิด
ด้วยเหตุนี้จึงมีข่าวล่าสุดจากพรรคเพื่อไทยว่า มีการเรียกประชุมระดับแกนๆ ของ“วิปรัฐบาล” แจ้งข้อมูลทุกพรรคสแตนบายในวันที่ 29 สิงหาคม ห้ามออกนอกพื้นที่เด็ดขาด ให้รอฟังผลคดี อย่าเพิ่งกลับต่างจังหวัด และงดไปต่างประเทศ เพราะหากผลคดีออกมาเป็นลบ อาจมีการเชิญแกนนำเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าทันที เหมือนเมื่อครั้งคดีอดีตนายกฯเศรษฐา เมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว นัยว่าเพื่อล็อกพรรคร่วมฯ ให้จับมือกันตั้งรัฐบาลหาบหามพรรคเพื่อไทยต่อไป
และความเคลื่อนไหวที่ทำให้เห็นว่าเริ่มมี “คลื่นใต้น้ำ” ทำให้สถานการณ์ไม่นิ่ง ก็คือเริ่มมีการปล่อยชื่อ “คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกมาชิมลางเป็นนายกฯชั่วคราว ช่วงฝ่าวิกฤติไทย-กัมพูชา กลางกระแสรักชาติ เพื่อบรรเทาแรงกดดันของรัฐบาลเพื่อไทยที่ประชาชนจะยิ่งไม่ยอมรับ หากต้องการต่อท่ออำนาจต่อไป
ขณะที่แวดวง “ขันต่อ” ข่าวล่าสุดออกมาว่า อัตราความเป็นไปได้ว่าจะรอด พุ่งสูงขึ้น หลังจากเห็นภาพนายกฯ ชี้แจงศาล แล้วออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แต่การที่รัฐบาลเร่งแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย และตำรวจ ซึ่งส่งผลต่อการเลือกตั้ง รวมถึงตั้ง “คณะทำงาน” แบบรัวๆ อีก 5-6 คณะ แก้หนี้ แก้ยาเสพติด ซึ่งเป็นแนวทางสร้างคะแนนนิยมทั้งสิ้นนั้น
เหล่านี้คือ“สัญญาณเร่ง” จากพรรคเพื่อไทยเอง เพราะรู้อยู่แก่ใจว่านายกฯ กำลังจะไม่รอด ใช่หรือไม่
ที่น่าสนใจก็ คือ แม้นายกฯ และอดีตนายกฯ จะรอดคดี แต่ก็หนีไม่รอด 10 ปัญหาที่รุมเร้า... ที่เรียกว่า 10 ทุกขลาภของรัฐบาลเเพทองธาร ซึ่งทุกปัญหายังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หากทำงานภายใต้ปัจจัยสถานการณ์และข้อจำกัดปัจจุบัน
1. ปัญหากัมพูชา
2. ปัญหาไฟใต้
3. ปัญหาสงครามกลางเมืองเมียนมา
4. ปัญหาภาษีทรัมป์ - ยังไม่นำเข้าขอความเห็นชอบจากรัฐสภา
5. ปัญหาเศรษฐกิจภายใน
6. ปัญหาสแกมเมอร์และการพนันออนไลน์
7. ปัญหายาเสพติด
8. ปัญหาเรื่องความเปลี่ยนแปลงของอากาศและมลพิษข้ามชาติ ถึงกรณีแม่น้ำกก
9. ปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง
10.ปัญหาเกี่ยวกับการแข่งขันของรัฐอำนาจใหญ่
ไม่นับโจทย์สงครามไฮบริด และสงคราม 6 โดเมน ที่เราเผชิญกับเขมร!







