ดับฝันถอดถอน สว.น้ำเงิน ลุ้น กกต. ส่งศาลฎีกาเชือด?

หลายคนอาจสับสน คดีฮั้วเลือกตั้ง สว. (สายสีน้ำเงิน) ที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่กลับปรากฏว่า ด้านหนึ่ง มีการเข้าชื่อกันของ สว. (สมาชิกวุฒิสภา) จำนวน 1 ใน 10 (20 ชื่อ) เพื่อยื่นต่อประธานวุฒิสภา ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย “ถอดถอน” อันเป็นช่องทางด่วน
โดยคำร้องของ สว. 21 คน ที่ร่วมกันเข้าชื่อยื่นขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยนั้น ระบุว่า สว. จำนวน 136 คน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 111 (7) ประกอบมาตรา 113 จากข้อกล่าวหาเรื่องได้รับเลือกให้เป็น สว.โดยไม่สุจริตเที่ยงธรรม หรือ “โกงเลือก สว.” เมื่อปี 2567 และฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมือง
แต่ทว่า เรื่องไปไม่ถึงศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อมีส.ว. 2 คน อ้างว่า “ถูกปลอมลายมือชื่อ” และอีก 1 คนขอถอนชื่อออกจากคำร้องเพราะ “เข้าใจคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญของการร่วมเสนอชื่อ”
เรื่องนี้ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาชี้แจงสรุป กรณี นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ และคณะ ส.ว. 21 คนเข้าชื่อต่อประธานวุฒิสภา ขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพการเป็น ส.ว. 136 คนสิ้นสุดลงหรือไม่นั้น
ปรากฏว่า สว. 3 คนจะแจ้งตัดลายมือชื่อของตนออกโดยยกเหตุผลต่างๆ นานา จนเหลือชื่อเพียง 18 คน ไม่ครบเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งต้องมี 20 คนขึ้นไป
จึงเป็นเหตุให้ ประธานวุฒิสภาจำเป็นต้องมีหนังสือแจ้ง นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ผู้เสนอคำร้องหลัก และคณะ ส.ว. ทราบว่า ไม่สามารถส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้ เนื่องจากมี ส.ว. ไม่ครบ 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคหนึ่ง กำหนด
แต่ถึงกระนั้น ถ้าฟังจากนักวิชาการกฎหมายมหาชน อย่าง“ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม ดูเหมือน แม้ไม่มีความผิดพลาดเรื่องรายชื่อ ก็อาจถูกตีตกคำร้องในขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญได้
“ดร.ณัฏฐ์” ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเริ่มจากอธิบายว่า ต้องเข้าใจกลไกรัฐธรรมนูญ ระบบรัฐสภา องค์กรอิสระ และศาลรัฐธรรมนูญก่อน เรื่องนี้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรม มาตรา 3 วรรคสอง
กลไกตรวจสอบ เปิดช่องให้ “ฝ่ายนิติบัญญัติตรวจสอบ” สมาชิกภาพของ “ส.ส.”หรือ “ส.ว.” หรือ “รัฐมนตรี” โดยมีเงื่อนไขบังคับก่อน คือ สิทธิในการเข้าชื่อและจำนวนสมาชิก 1 ใน 10 ของแต่ละสภา
“ดร.ณัฏฐ์” ระบุด้วยว่า โดยรัฐธรรมนูญ 2560 ยกระดับปราบโกง โดยเพิ่มเติมให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้วิธีการชั่วคราวก่อนตัดสินได้ อันนี้ ถือเป็นยาแรง ปรากฏครั้งแรกใน รธน.ฉบับนี้ ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ ส.ส.หรือ ส.ว.หรือรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะอ่านคำวินิจฉัย โดยใช้ “หลักส่วนได้เสีย” และ “หลักนิติธรรม” เป็นเกณฑ์การใช้มาตรการและ “เหตุอันควรสงสัย” จากพฤติกรรมของผู้ถูกร้อง
ทั้งยังชี้ว่า “กลยุทธ์เกมการเมือง ช่องมาตรา 82 วรรคหนึ่ง เป็นที่นิยมของฝ่ายการเมืองขั้วตรงข้าม ที่ต้องการปิดเกมเร็วและเป็นยาแรง ได้ผลยิ่งกว่า ใช้บริการช่ององค์กรอิสระ อย่าง กกต.ตรวจสอบและไต่สวน เพราะไม่รวดเร็ว มีขั้นตอนยุ่งยาก กำหนดทิศทางไม่ได้ ไม่ถูกใจคอการเมือง”
ขณะเดียวกัน “ดร.ณัฏฐ์” ขยายความให้เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 82 วรรคหนึ่งเปิดช่องให้ใช้ดุลพินิจ มิใช่เป็นบทบังคับเด็ดขาด ที่ว่า “ให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับคำร้อง ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ...” เปิดช่องให้ประธานวุฒิสภา ใช้ “ดุลพินิจ” ก่อน “ส่งคำร้อง” ตรวจสอบเนื้อหาและลายมือชื่อก่อนใช้อำนาจ อาจใช้วิธีให้ฝ่ายกฎหมายวุฒิสภาตรวจสอบหรือตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบก็ได้ ทั้งนี้อยู่ที่ความจำเป็นเร่งด่วน และความเสียหายแก่บ้านเมือง
“กระบวนการตรวจสอบ หากเนื้อหาซ้ำกับใช้สิทธิในองค์กรอื่น หรือลายมือชื่อไม่ครบถ้วน หรือลายมือชื่อปลอม ประธานวุฒิสภา ตีตกคำร้องได้ทันที ไม่เป็นความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามที่ ส.ว.ข้างน้อยข่มขู่ แต่หากเนื้อหาคำร้องไม่ครบถ้วน หรือเนื้อหาเสียดสี ย่อมสั่งให้แก้ไขคำร้องได้”
ที่สำคัญ “ดร.ณัฏฐ์” เห็นว่า เนื้อหา ตามหนังสือของ ส.ว.เสียงข้างน้อย หรือ “ส.ว.อิสระ” ฉบับลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 บรรยายคำร้องผูกคอตนเอง เพราะไปซ้ำกับเนื้อหาเรื่องโกงการเลือก ส.ว.ที่ กกต.กำลังพิจารณาอยู่ แม้จะแตกประเด็นให้เข้าเงื่อนไข แต่ภาพรวมเรื่องเดียวก้น การกระทำเดียวกัน ต้องถูกลงโทษครั้งเดียวและ รธน.กำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะ กกต. จะใช้ศรีธนญชัยเพื่อหยิบช่องทาง รธน.มาตรา 82 วรรคหนึ่ง เป็นทางด่วน รวดเร็ว ถูกใจคอการเมือง พุ่งเป้าไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้เชือดและเร็วกว่า ย่อมกระทำไม่ได้ เพราะการทุจริตการเลือก ส.ว.เป็นอำนาจพิจารณาของศาลฎีกา
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น “ดร.ณัฏฐ์” ชี้ว่า กระบวนการใช้สิทธิซ้ำซ้อน ข้ามขั้นตอนและใช้บริการทางด่วน ตัวแปร แม้ประธานวุฒิสภา จะบ้าจี้ยื่นถอดถอนตนเองด้วย โดยยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามคำขู่ดำเนินคดีอาญา ของ ส.ว.บางคน ศาล รธน.ย่อมไม่รับคดีไว้พิจารณา
“เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะกลไกรัฐธรรมนูญกำหนด การตรวจสอบการทุจริตการเลือก ส.ว. เป็นอำนาจของ กกต.และให้กกต.ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ตาม รธน.มาตรา 226 ประกอบ พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.มาตรา 62 วรรคหนึ่ง”
“ดร.ณัฏฐ์” อธิบายอีกว่า หาก กกต.วินิจฉัยเป็นบวกหรือลบย่อมกระทบต่อสถานภาพสมาชิกภาพ ของ ส.ว. หากออกลบ หมายถึง กกต.วินิจฉัยว่า ฝ่าฝืน พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.มาตรา 77(1) ต้องไปสู้คดีในชั้นศาลและต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อศาลได้รับคำร้องไว้พิจารณา
ยิ่งกว่านั้น หากกระทำฝ่าฝืน พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.มาตรา 77 (1) ถือว่า เป็นการกระทำผิดฐานฟอกเงิน ไปในตัว ตามพรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.มาตรา 77 วรรคสอง ย่อมหมายถึง ดีเอสไอ เงื้อดาบไว้รอ เรียกมาแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงินได้ทันที
กลับมาที่ ประเด็น “ลายเซ็นปลอม” โดยมี ส.ว.บางคนไปร้องทุกข์ไว้เป็นหลักฐานนั้น ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า ส.ว.ที่ได้รับความเสียหายจะต้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษ มิใช่กั๊กไว้ เพียงแจ้งไว้เป็นหลักฐาน อำนาจสอบสวนของ พนง.สอบสวนยังไม่เกิด เพราะเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน โดยกล่าวโทษต่อพนง.สอบสวนท้องที่เกิดเหตุ ส่งตัวอย่างลายมือชื่อไปตรวจสอบว่า เป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ ซึ่งหากไม่ปลอม ให้ดำเนินคดีกับ ส.ว.ที่แจ้งความเท็จนั้นด้วย เพราะในทางการเมือง หากอีกฝ่ายเสนอผลประโยชน์มากกว่า หรือหากผลประโยชน์ไม่ลงตัว อาจกลับใจใช้ทุกวิถีทางแก้เกมในภายหลังได้
แต่หากผลพิสูจน์ว่า มีการปลอมลายมือชื่อจริง ต้องตรวจสอบให้ได้ว่าใครปลอม ซึ่งตรวจสอบง่ายเพราะมีบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่กี่คนที่ล่าลายมือชื่อ และดำเนินคดีอาญากับคนที่เกี่ยวข้อง
“เนื่องจาก ส.ว.ถือว่า เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ พนง.สอบสวน จะต้องส่งสำนวนให้แก่ ป.ป.ช.ตาม พรป.ป.ป.ช. หาก ป.ป.ช.ไต่สวนพบว่า กระทำผิดจริง จะเจอข้อหาฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง อีกดอกหนึ่งโดยปริยาย เป็นโทษหนัก ติดคุกด้วยและตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีพ ไม่ต่างจาก ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน”
สำหรับ ความคืบหน้าคดีฮั้วเลือกตั้งส.ว.ที่อยู่ในมือ “กกต.”(17 ก.ค.68) คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง ชุดที่ 26 ของสำนักงาน กกต. ซึ่งรับผิดชอบ ได้ประชุมสรุปสำนวนการสอบสวน
มีมติเสนอ กกต.เห็นควรดำเนินคดีต่อผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 229 คน แบ่งเป็น ส.ว. 138 คน กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย และเครือข่ายอีก 91 คน ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 70 ประกอบ มาตรา 36 มาตรา 62 มาตรา 76 และ มาตรา 77 (1)
โดยที่ประชุมคณะกรรมการสืบสวนเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวเข้าข่ายมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ทำให้ได้รับเลือกมาเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริต เที่ยงธรรม และขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 ที่บัญญัติว่าส.ว.ต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใดๆ
ในส่วนข้อกล่าวหานี้ หากไปถึงชั้นการพิจารณาของที่ประชุม กกต.และมีมติเห็นด้วย ก็อาจนำไปสู่การร้องต่อ “กกต.” ขอให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคได้
ด้าน สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ให้ข้อมูลไทม์ไลน์ ว่า ขั้นตอนจากนี้ รองเลขาธิการคณะกรรมการ กกต. ที่ได้รับมอบหมายจาก “แสวง บุญมี” เลขาธิการคณะกรรมการ กกต. จะดำเนินการวิเคราะห์สำนวนและจัดทำความเห็นที่อยู่ในขั้นตอนที่ 2 ระยะเวลาพิจารณา 60 วัน เมื่อดำเนินการเสร็จแล้วจะเสนอคณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งจัดทำความเห็น (ขั้นตอนที่ 3) 90 วัน และสำนักงานคณะกรรมการ กกต. เสนอสำนวนให้คณะกรรมการ กกต. พิจารณาต่อไป (ขั้นตอนที่ 4) 90 วัน ซึ่งเป็นขั้นตอนตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2566 ที่ต้องดำเนินการให้ครบถ้วน ตามระเบียบที่กำหนด....
สรุปแล้ว “คดีฮั้วส.ว.” อาจนำไปสู่คดีอื่นได้หลายคดี นับแต่ส.ว.ปลอมลายเซ็น หากพิสูจน์ได้ว่า ปลอมลายเซ็นเข้าชื่อจริง ก็จะนำไปสู่คดีอาญาของส.ว. และอาจเข้าข่ายผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งมีโทษทั้งจำคุก และโทษทางการเมืองสูงสุดคือตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต
ส่วนคดีส.ว.โกงเลือกตั้ง หรือ “ฮั้วส.ว.” ที่มีพรรคการเมืองเกี่ยวข้อง หาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีมติ ส่งฟ้องต่อศาลฎีกา ไม่เพียงส.ว.จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำตัดสิน หากแต่ยังจะถูกดำเนินคดีความผิดฐาน “ฟอกเงิน” โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมถึง อาจนำไปสู่ “คดียุบพรรค” พรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง
เหนืออื่นใด ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับ “ดับฝัน” ส.ว.บางส่วนที่ต้องการใช้ช่อง “ทางด่วน” ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนส.ว.สายสีน้ำเงิน ต่อให้พยายามใหม่อีกกี่ครั้ง และไม่มีปัญหาเรื่องลายเซ็นก็ตาม เหลือลุ้นก็แต่ “มติคณะกรรมการ กกต.” จะส่งฟ้องศาลฎีกาหรือไม่เท่านั้น







