'วิกฤติเขมร' ทำให้เห็นจุดอ่อนไทย

'วิกฤติเขมร' ทำให้เห็นจุดอ่อนไทย

อย่าปล่อยให้ “วิกฤติเขมร” ผ่านเลยไป โดยไม่ได้ทำอะไร ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้สำรวจตัวเอง ว่ามีปัญหาอะไร ปล่อยปละละเลยกันมาอย่างไร ต้องปฏิรูป ปฏิสังขรณ์กันแบบไหน เพื่ออยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีในเวทีโลก

สิ่งที่หลายคนเคยพูด เคยเตือนกันมาตลอดว่า ประเทศของเรามีปัญหาซึมลึก เสี่ยงล่มสลายแทบทุกระบบ และใกล้เป็น Failed state โดยมีปัจจัยหลักๆ มาจากปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนานนั้น สะท้อนชัดเจนจากการรับมือ “วิกฤติเขมร” หนนี้นี่เอง

ที่บอกกันมาตลอดว่า เราอยู่มาได้เพราะบุญเก่า แต่ไม่สร้างบุญใหม่เลย ทำให้บุญเก่าใกล้หมดเต็มทีแล้วนั้น มันจริงเสียยิ่งกว่าจริง

“วิกฤติเขมร” จะยังไม่จบลงเพราะการประชุม GBC สัปดาห์นี้แน่นอน แต่น่าจะเป็นเรื่องร้อน สลับกวนใจคนไทยไปอีกเนิ่นนาน

อย่าปล่อยให้ “วิกฤติเขมร” ผ่านเลยไป โดยที่เราไม่ได้ทำอะไร ได้แค่ด่าเขมร กับด่ากันเอง เพราะจริงๆ มันถึงเวลาแล้วที่เราจะได้สำรวจตัวเองกันชัดๆ เสียที ว่าเรามีปัญหาอะไร เคยปล่อยปละละเลยกันมาอย่างไร และหากยังจะอยู่ในโลกอันโหดร้ายที่ต่อไป เราจะต้องปฏิรูป ปฏิสังขรณ์กันแบบไหน เพื่อให้ไทยเป็นไทย และอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีในเวทีโลก

ไม่ใช่ปล่อยให้ใครเขาพูดว่า เมืองไทยนั้นดีทุกอย่าง ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ชัยภูมิก็ดี อากาศก็ดี ภัยธรรมชาติใหญ่ๆ ก็ไม่ค่อยมี ธรรมชาติก็มี วัฒนธรรมก็เด่น เสียอย่างเดียว...มีคนไทยอยู่

ปัญหาที่ปรากฏชัด และเราต้องรีบแก้ไขโดยด่วน ก็คือ

1.การเมือง ปัญหาใหญ่จริงๆ ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดี แต่ที่แน่ๆ คือ กลไกการคัดสรรคนเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญของเรา ใช้การไม่ได้ บุคลากรระดับผู้นำของเรามีปัญหา ทั้งด้านความสามารถ และวุฒิภาวะอย่างไม่น่าให้อภัย เหมือนประเทศไทยไม่มีคนเก่ง ไม่มีคนดีกว่านี้แล้วหรือ ถึงปล่อยให้คนประเภทที่เห็น และเป็นอยู่นี้ มีอำนาจอยู่ได้

2.การที่เราไม่มีนายกฯตัวจริง และไม่มี รมว.กลาโหม แล้วต้องเผชิญกับวิกฤติเช่นนี้ หนำซ้ำก็ยังไม่มีท่าทีจะแก้ไขให้มันดีขึ้น เช่น การตั้ง รมว.กลาโหม จริงๆ ก็ตั้งเติมได้เลย แต่ก็ไม่ทำ

สภาพการณ์เช่นนี้สะท้อนความไม่ปกติทางการเมืองอย่างชัดแจ้ง และอธิบายให้ใครเข้าใจไม่ได้เลยว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้

และ 2 ข้อแรกที่กล่าวมา ทำให้เห็นว่า การเมืองแบบเก่า การเมืองยุคเก่า ไม่สามารถนำพาประเทศได้อีกต่อไป หาพยายามยื้อ พยายามรักษาอำนาจไว้ด้วยวิธีการใดก็ตาม รังแต่จะนำพาประเทศไปสู่ความเสี่ยงที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น

3.พรรคการเมืองที่อ้างตัวว่าเป็น “พรรคคนรุ่นใหม่” ดูแล้วยังฝากประเทศไว้ไม่ได้ เพราะเก่งแต่ทฤษฎี พูดจาดูดี ไม่เคยปฏิบัติ หนำซ้ำไม่คิดจะเรียนรู้การปฏิบัติ ว่าการขับเคลื่อนงานจริงๆ มันยากเย็นแค่ไหน

การมองปัญหาแบบง่ายๆ ฉาบฉวย แบ่งแยกถูก-ผิด ดำ-ขาว มองคนรุ่นเก่าว่าโง่เง่า ดักดาน ยิ่งทำให้ตัวเองติดกับดัก และวิกฤติเขมรหนนี้ สะท้อนให้เห็นเลยว่า เป็นกระจกสะท้อนที่แจ่มชัดอย่างยิ่งว่า พวกท่านคิดหลายเรื่องไม่ถูกต้อง และบางเรื่องไม่ควรคิดตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำไป

วาทกรรมสวยๆ ตีตราคนอื่นแบบเหมารวม มันอาจทำให้ท่านชนะเลือกตั้งได้ แต่แก้ปัญหาจริงๆ ไม่ได้แน่นอน

4.กองทัพของเราร้างราการรบมานานจริงๆ หนำซ้ำยังมีทหารกลุ่มหนึ่ง แสวงหาอำนาจทางการเมือง ทั้งผ่านกลไกปกติ และผ่านกลไกพิเศษ อีกกลุ่มหนึ่งก็เป็น “ทหารคอสเมติก” เน้นหล่อ เท่ ดูดี หัวเข็มขัดเงา รองเท้ามันแผล็บ แต่รบไม่เป็น เล่นแต่โซเชียล ไอโอ

ประกอบกับความไม่ใส่ใจงานชายแดน งานความมั่นคงที่แท้จริง มุ่งกันแต่หาแสง หางบฯ หาตำแหน่ง ทำให้ทหารที่เป็น “รั้วของชาติตัวจริง” วังเวง รบแทนประชาชนอย่างเดียวดาย คนที่ตายก็ตายไปอย่างเหงาๆ แล้วก็ลืมๆ กันไป

จริงๆ ไม่ใช่แค่สงครามกับกัมพูชา แต่สงครามในภาคใต้ 21 ปี ก็แทบไม่ต่างกัน

5.การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนคงต้องรื้อกันใหม่หมด เพราะจากวิกฤติเขมร ทำให้เราทราบว่า แท้ที่จริงแล้วเราเสียดินแดนไปมากมายกับความละเลย นโยบายไม่ชัดเจน ธุระไม่ใช่ หรือไม่ก็ด้วยผลประโยชน์ทางการเมือง

และไม่ใช่เฉพาะชายแดนเขมร ชายแดนด้านอื่นก็ล้วนมีปัญหา เพียงแต่ว่าไม่ได้ปะทุด้วยความรุนแรง และจนป่านนี้ก็ไม่มีกลไกใดเข้าแทรกแซง หรือมีอำนาจเต็มที่ตัดสินใจได้อย่างมีเอกภาพ และมีคุณภาพ

6.การงานสื่อสารของเราล้มเหลวอย่างไม่น่าให้อภัย ทั้งๆ ที่เรามีคนเก่งมากมาย แต่ไม่สามารถรวมศูนย์ รวมหมู่ ให้การสื่อสารของเรามีพลัง ไปในทิศทางเดียวกัน และมีความน่าเชื่อถือได้เลย

เหตุปัจจัยบางส่วนหรือส่วนใหญ่ มาจากปัญหาการเมืองแบบเก่า ตามข้อ 1 และข้อ 2 ด้วย

 7.งานด้านการต่างประเทศของเราอ่อนแออย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่มีคนเก่งเต็มกระทรวงบัวแก้ว คนไทยหลายคนถามหาความโดดเด่นของงานด้าน “การทูตแบบไทย” ซึ่งเคยประสบความสำเร็จอย่างมากมายในอดีต ทำให้ไทยไม่เป็นประเทศผู้แพ้สงคราม ทำให้ไทยรักษาเอกราชไว้ได้ประเทศเดียวในภูมิภาคแถบนี้ ทำให้ไทยเอาชนะคอมมิวนิสต์ได้

แต่ทุกวันนี้เราแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดกับตัวเอง ฉะนั้นอย่าหวังว่าจะได้ไปมีบทบาทในปัญหาของโลก ในเวทีนานาชาติ

สาเหตุส่วนหนึ่งที่หลายคนพูดกัน ก็คือ งบของกระทรวงการต่างประเทศ และการลงทุนกับงานด้านนี้ของไทย ต่ำมากจริงๆ

 8.จิตสำนึกของคนไทยตกต่ำกว่าในอดีตมาก เห็นได้จากการขอความร่วมมือใดๆ เพื่อส่วนร่วม เพื่อความมั่นคง จะมีคนแหกกฎ และพยายามหาช่องลอดอยู่เสมอ แม้เรื่องนั้นจะคอขาดบาดตายกับชาติบ้านเมืองแค่ไหนก็ตาม

อย่างเช่น เรื่องบินโดรน ซึ่งก่อความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับกองทัพ รบกับเขมรก็เหนื่อยอยู่แล้ว ยังต้องมารบกันเอง หรือลองย้อนนึกไปในช่วงโควิดระบาด ก็คงพอจำได้ว่า มีพวกแหกกฎ ไม่สนโรคภัยไข้เจ็บ และไม่แคร์ว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร แถมทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน เยอะแยะมากมาย ตั้งแต่ระดับรัฐมนตรีไปจนถึงจิ๊กโก๋คุมซอย