ม็อบส่งใจสู่ชายแดน โชว์พลังมวลชนคนรักชาติ

ดูเหมือนควันหลงหยุดยิง ได้เปิดช่องว่างให้การนัดชุมนุมทางการเมือง มีความชอบธรรมอยู่พอสมควร แม้ในฝ่ายรัฐบาล ยังเห็นว่า ต้องการความสามัคคีของคนในชาติ
ต้องยอมรับว่า อารมณ์ของผู้คนในสังคมไทยเวลานี้ ทั้งที่ติดตามข่าวสาร จากสื่อสารมวลชนกระแสหลัก รวมถึงสื่อสังคมโซเชียล ส่วนใหญ่ต่างทุ่มใจให้ทหารหาญ ที่ปฏิบัติหน้าที่สู้รบอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และแม้มีการเจรจาหยุดยิงกันแล้ว แต่ทว่าเหมือนยังมี “อารมณ์ตกค้าง” หลายอย่าง ที่ต้องการคำอธิบาย
นี่คือ “โอกาสทอง” ของกลุ่มคนภายใต้การนำโดย “คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” ที่นัดชุมนุมกันในวันนี้( 2 ส.ค.68)
“ขอให้คนที่ไม่เป็นภาระและสามารถเดินทางมาได้ ไม่ว่าจะอยู่ภูมิภาคใด ภาคเหนือที่น้ำไม่ท่วม ภาคอีสานที่ไม่อยู่แนวชายแดน ภาคกลาง กทม.ปริมณฑล มาร่วมสำแดงพลังกัน เพราะการรวมพลังแผ่นดินมีความจำเป็นภายใต้สถานการณ์นี้ที่วันข้างหน้าเอาแน่นอนอะไรไม่ได้เลย” ความตอนหนึ่ง ที่ จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน(31 ก.ค.68)
“จตุพร” กล่าวถึง การสู้รบตามชายแดนไทย-กัมพูชา ยังน่ากังวล เพราะนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ไปเจรจาหยุดยิงเสียเปรียบและตกเป็นเครื่องมือของอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ดังนั้น คนไทยต้องสำแดงพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยในวันที่ 2 ส.ค.นี้ ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตั้งแต่เวลา 12.00 น.-21.00 น
อีกทั้งเชื่อว่า แม้รัฐบาลพยายามสกัดกั้นปิดหูปิดตาการรับรู้ข่าวสารการสำแดงพลังแผ่นดินทุกรูปแบบ แต่เมื่อสงครามไทย-กัมพูชาไม่มีอะไรดีขึ้นและการปะทะกันยังไม่ยุติ ดังนั้นการชุมนุมแสดงพลังแผ่นดิน 2 ส.ค.นี้ จึงคาดจะมีผู้รักชาติบ้านเมืองมาร่วมจำนวนมากไม่แตกต่างจากการสำแดงพลังเมื่อเมื่อ 28 มิ.ย. ที่ผ่านมา
“จตุพร” ย้ำว่า สิ่งสำคัญ ประชาชนไม่พอใจ นายภูมิธรรม รักษาการนายกฯ ไปเสียรู้การเจรจาหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข เท่ากับถูก 3 ประเทศ คือ กัมพูชา มาเลเซีย และสหรัฐ สมคบคิดกันรุมบีบให้ไทยทำข้อตกลงหยุดยิง แสดงว่า ไทยตกเป็นเครื่องมือของอันวาร์ อิบราฮิม
“การเจรจาหยุดยิงเหมือนเล่นไพ่ดัมมี่ อันวาร์ อิบราฮิมกับสหรัฐและนายฮุนมาเนต นายกฯ กัมพูชา รู้เห็นเป็นพวกเดียวกันหมด เท่ากับ 3 รุมหนึ่ง จึงถูกกดดันให้ตีโง่ และที่เจ็บใจตอนเดินออกจากการแถลงการณ์เจรจา ยังให้นายภูมิธรรมไปก่อน แล้วนายกฯ มาเลเซียเดินกอดคอฮุนมาเนตออกไป ซึ่งภาษากายอธิบายถึงการรู้เห็นเป็นใจกัน”
“จตุพร” ยังกล่าวอีกว่า นายภูมิธรรม ไปเจรจาไม่ตรวจสภาพทั้ง 11 สมรภูมิชายแดน ว่าไทยได้เปรียบเสียเปรียบที่จุดไหน และยังไปเกรงใจอันวาร์ อิบบราฮิม ที่ขณะนี้ถูกคนในประเทศขับไล่ออกจากตำแหน่ง ดังนั้น การเดินเกมการเมืองครั้งนี้จึงโง่บัดซบที่สุด
“จตุพร” ชี้ว่า นายภูมิธรรมบอกได้คุยและนำข้อเสนอของกองทัพบก 6 ข้อไปเจรจา แต่ได้คุยถึงยุทธภูมิ 11 จุดหรือไม่ว่า ยังมีปัญหา และถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่ควรไปเจรจา อีกอย่างเมื่อกัมพูชาผิดเงื่อนไขการหยุดยิงถึง 2 วัน แล้วทำไมไม่ให้กองทัพเข้าไปจัดการในพื้นที่ปราสาทตาควาย
“เมื่อเจรจาผิดพลาดแล้วเขาไม่ทำตาม พอไปทำตามเราก็เสียเปรียบ แม้เราได้มาหลายที่ ซึ่งเป็นที่ของเรา แต่กรณีปราสาทตาควายสะท้อนให้เห็นว่า การไปเจรจาของนายภูมิธรรมนั้น มันสร้างความเสียหายจริงๆ แล้วการจะไปเจรจาระดับ จีบีซี วันที่ 4 ส.ค.นี้ เราทักท้วงตั้งแต่แรกแล้วว่า โง่หรือไงที่ไปเจรจาที่พนมเปญ”
นอกจากนี้ “จตุพร” กล่าวว่า ทักษิณ ชินวัตร เสมียนประเทศเคยการันตีว่า ไทย-กัมพูชา แข่งกันดำน้ำอึด ไม่มีการรบทำสงครามกันเด็ดขาด แล้วสุดท้ายรบกัน ซึ่งจะว่าอย่างไร การพูดเช่นนี้ยิ่งทำให้คนตามชายแดนตายใจ หลงเชื่อกันไปมาก
ส่วนที่ถกเถียงเรื่องมนุษยธรรม กรณี รพ.สรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ไม่รับรักษาคนกัมพูชานั้น “จตุพร” เห็นว่า เป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลย เพราะในสถานการณ์สงครามและไทยปิดด่านทุกด่าน แล้วคนกัมพูชาจะเข้ามารักษาตัวในไทยได้อย่างไร ยกเว้นคนกัมพูชาที่อยู่ในไทยแล้วต้องรับรักษาเพื่อมนุษยธรรม ดังนั้น เรากำลังมาเถียงในเรื่องปัญญาอ่อน ไม่สมเหตุสมผลกันเลย
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก คปท. มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน ระบุว่า
วันที่ 1 ส.ค. 2568 กลุ่มมวลชนคณะ “รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายพิชิต ไชยมงคล แถลงข่าวยืนยันว่า จะจัดแสดงพลังของประชาชนคนไทย ที่ห่วงใยต่อสถานการณ์ "รัฐบาลอ่อนแอ แนวหลังต้องช่วยแนวหน้า" ในวันเสาร์ที่ 2 ส.ค. 68 ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตั้งแต่เวลา 10.00 น.-21.00 น. โดยผู้ที่มาจากต่างจังหวัด ทางคณะฯ ก็พร้อมที่จะต้อนรับ โดยเน้นย้ำการแสดงจุดยืนเหมือนการชุมนุมในครั้งที่ผ่านมา 3 ข้อ
คือ 1. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ต้องลาออกจากตำแหน่ง ไม่ต้องรอให้ศาลฯตัดสิน 2. พรรคร่วมรัฐบาล ถอนตัวจากรัฐบาลทันที และ 3.แสดงจุดยืนปกป้องอธิปไตย สำหรับประชาชนไทย ดังนั้นพรุ่งนี้ ขอให้ทุกคนนำธงชาติมาส่งกำลังใจแนวหลัง ให้เจ้าหน้าที่แนวหน้า
นอกจากนั้น ในวันพรุ่งนี้ จะมีการเปิดรับบริจาคสิ่งของ เนื่องจากแม้ว่าจะมีการหยุดยิงแล้ว แต่การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนอยู่ และหลายครอบครัว ยังอพยพอยู่นอกพื้นที่ ทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง รวมถึงตาข่าย ที่จะนำไปขึงเพื่อป้องกันอาวุธ ซึ่งจะได้มีการนำไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ทหารแนวหน้าด้วย โดยเน้นย้ำว่า เป็นการชุมนุมอย่างสันติ
ทั้งยังระบุด้วยว่า “การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ก็เพื่อสื่อสารให้ชาวโลกได้รู้ว่า ปัญหาอธิปไตย และดินแดนระหว่างไทยและกัมพูชา มีสาเหตุจากอะไร และใครเป็นผู้รุกราน นักการเมืองและผู้นำทั้งสองประเทศ มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดปัญหานี้อย่างไร”
ก่อนหน้านี้ ในการแถลงข่าว(26 ก.ค.68)ยืนยันการการจัดชุมนุม ในวันที่2ส.ค. ที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณ ชายแดนไทย-กัมพูชา
“นิติธร ล้ำเหลือ” หรือ “ทนายนกเขา” วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวว่า ขณะนี้มีทั้งศึกนอกศึกใน แต่หลายคนบอกว่า ต้องจัดการศึกนอกเสียก่อน แต่ถ้าเราดูบทเรียนในประวัติศาสตร์ ถ้าไม่จัดการศึกใน ให้เสร็จสิ้นเราแพ้ศึกนอกแน่ วันนี้เราจะไปไม่ถึงขนาดนั้น แต่เราจะตีแผ่ความจริงให้พี่น้องประชาชนทราบให้ประชาชนได้ตัดสินใจ ว่าเหตุการณ์เฉพาะหน้า ทหารกับประชาชนจะเชื่อมสัมพันธ์กันอย่างไร ประชาชนด้วยกันจะเข้าไปดูแลพี่น้องประชาชนด้วยกัน นี่คือประเด็นสำคัญ การร่วมกันปรากฏตัวตนแสดงรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง
“ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคน ครอบครัวทหารออกมาแสดงพลังปรากฏตัวให้ทหารไทย ประเทศไทย และสหประชาชาติได้เห็นว่า เราคนไทยเป็นหนึ่งเดียว หัวใจดวงเดียวกัน รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” นิติธร กล่าว
ด้าน ถวิล เปลี่ยนศรี อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กล่าวว่า การชุมนุมวันที่ 2 ส.ค. มีเป้าหมายที่ชัดเจน เรารู้สถานการณ์ดีว่าอะไรควรมาก่อนมาหลัง แต่เราร่วมชุมนุมกันเพื่อที่จะส่งกำลังใจให้กับทหาร ที่ทำหน้าที่อยู่ชายแดน ฉะนั้นเราจะส่งกำลังใจไปให้ทหาร และประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสงคราม การชุมนุมของเราครั้งนี้เพื่อจะรวมพลังของประชาชนทั้งประเทศเพื่อให้การสนับสนุนการทำงานของทหารให้เป็นไปอย่างราบรื่น และในภาวะที่รัฐบาลเห็นมีข้อจำกัดอยู่หลายเรื่อง เราจะเข้าไปเสริมในการทำงานตรงนั้น ประชาชนที่อยู่แนวหลังจะช่วยทหารที่อยู่แนวหน้ามีกำลังใจที่เข้มแข็งและสามารถบรรลุภารกิจของพวกเราร่วมกันได้เพื่อรักษาอธิปไตย
ขณะที่สมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) กล่าวว่า การชุมนุมวันที่ 2 ส.ค.กำหนดไว้เพื่อดำเนินการส่งให้กำลังใจทหารกล้าที่เสียสละเลือดเนื้อและชีวิตปกป้องอธิปไตยไทยตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งปรากฏความสูญเสีย สถานการณ์จะจบเร็วหรือยืดเยื้อขึ้นอยู่กับพวกเราทั้งหลายในประเทศ ปัญหาที่เกิดขึ้นแม้เราจะทราบเหตุที่ทำให้เกิดสงคราม เพราะผลประโยชน์ของคนสองตระกูลข้ามชาติ และคนที่บั่นทอนกองทัพคือฝ่ายการเมือง ตั้งแต่รัฐบาล นายกฯ และรัฐมนตรีหลายคน ตนจึงมี 3 ข้อ ดังนี้ 1.เชิญชวนออกมาแสดงพลังปรากฏตัวร่วมเป็นกำลังใจให้กองทัพทำหน้าที่เต็มประสิทธิภาพ
2.เราต้องเป็นแนวหลังในการส่งความช่วยเหลือให้เมื่อเกิดการรบ ทหารจะมีขวัญกำลังใจที่ดี คือแนวหลังส่งกำลังบำรุง ฉะนั้นพวกเราจะไปรวมศูนย์เพื่อเปิดรับบริจาคกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องอุปโภคบริโภค บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นม อาหารเครื่องกระป๋องทั้งหลาย
และ3.เราต้องพูดคุยให้ประชาชนทราบสถานการณ์ที่ถูกบิดเบือนอยู่ขณะนี้ และเรียกร้องความรับผิดชอบ การไม่ทำหน้าที่ของรัฐบาล การทำหน้าที่ของสภา และเรียกร้องให้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นว่า เกิดจากใครจนมาถึงวันนี้
“สมชาย” กล่าวด้วยว่า ขอเชิญชวนทุกคนติดธงชาติไทยทุกบ้าน เพื่อสื่อสารให้ทหารไทยได้รับรู้ว่า เขาไม่ได้รบอย่างโดดเดี่ยว เขามีประชาชนคนไทย 67 ล้านคนเป็นกำลังหนุน
ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ตามมาก็คือ นี่คือ จังหวะก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่ง ของ ม็อบภายใต้การนำของ “คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” ที่คาดหวังว่า กระแส “ชาตินิยม” ท่ามกลางปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา จะสร้างพลังกดดันรัฐบาลอย่างสูง อันจะช่วย หล่อเลี้ยงกระแสการชุมนุมในครั้งต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย
เหนืออื่นใด การชุมนุมครั้งนี้ แม้จะมีการโจมตีรัฐบาล และ “ขยายแผล” สาเหตุที่ทำให้เกิดสงคราม แต่ความคาดหวังสูงสุด อาจอยู่ที่ การใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ ที่กระแสชาตินิยมกำลังมาแรง เพื่อไปสู่เป้าหมายในการล้มรัฐบาลในที่สุดนั่นเอง







