จริงหรือ...ชินวัตรไม่ช้ำ เพราะทำเพื่อประเทศ

นายกฯอาจจะไปขอดูผลโพลเป็นการส่วนตัว อาจจะทราบว่า ประชาชนคิดอย่างไร และ “ชินวัตร” ช้ำหรือไม่ช้ำกันแน่
ผ่าน 4 วันของสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เกิดคำถามว่า เหตุใดกัมพูชาถึงยังไม่ยอมหยุด ขนาดผู้นำสหรัฐฯ มหาอำนาจโลกโทรศัพท์หา ยังเดินหน้าโจมตีต่อ
ผมตั้งเป็น “ปุจฉา” และพยายามหาคำตอบเป็น “วิสัชนา” รวมถึง “วิเคราะห์” สถานการณ์ในอนาคต โดยรวบรวมข้อมูลที่คุยกับผู้รู้แขนงต่างๆ ได้ดังนี้
ปุจฉา : ทำไมกัมพูชาขยายแนวรบ ครอบคลุมเกือบทุกจุดของเส้นเขตแดนทั้งทางบกและทางทะเล, กัมพูชารู้อยู่แล้วว่าเสียเปรียบ ทั้งกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และการยืนระยะ เหตุใดจึงยังลุยหนักสหรัฐฯสั่งหยุดยังไม่ยอมหยุด แผนของกัมพูชา คืออะไร
วิสัชนา : กัมพูชาต้องการขยายเขตการเกิดความไม่สงบให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่ตนอ้างสิทธิ์ เพราะตอนนึ้ประชาคมโลกรับรู้เรื่องความขัดแย้งเกี่ยวกับเขตแดนแล้ว, พวกเขาต้องการให้ UNSC ยื่นมือเข้ามา และออกข้อมติหรือตั้งคณะผู้สังเกตการณ์ กดดันให้เปิดการเจรจา เพราะหากเปิดการเจรจาได้ กัมพูชาจะยกเรื่องพื้นที่พิพาทขึ้นสู่โต๊ะเจรจา
ฉะนั้นพวกเขาจึงหยุดไม่ได้ ถ้าหยุดตอนนี้ ทุกอย่างจะกลับไปจุดเดิมก่อนเกิดปัญหา และเสียเปรียบไทย เพราะข้อกล่าวหาเริ่มเปิดก่อน และโจมตีเป้าหมายพลเรือนยังสดๆ ใหม่ๆ อยู่
ข้อวิเคราะห์ : หากการสู้รบทวีความรุนแรงและยืดเยื้อ เรื่องใครโจมตีก่อนจะลดความสำคัญลง เพราะน้ำหนักของปัญหาที่ประชาคมโลกมอง จะพุ่งไปที่ความขัดแย้งและความเสียหายมากกว่าประเด็นใครเริ่มก่อน
กัมพูชา พยายามเปิดแนวรบตรงจุดที่ตัวเองอ้างสิทธิ์และนำไปฟ้องศาลโลก เพื่อผูกโยงกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นว่า เป็นเพราะข้อพิพาททางดินแดนที่ตกลงกันไม่ได้ จึงเกิดความรุนแรงขึ้น หวังให้นำเรื่องไปสู่ศาลโลก หรือมีคนกลางเข้ามาไกล่เกลี่ย
กัมพูชาผิดหวังกับผลการประชุม UNSC ที่ไม่มีมติที่เป็นคุณกับตน และไม่มีมหาอำนาจชาติใดแสดงท่าทีหนุนหลังอย่างชัดเจน หนำซ้ำยังถูกรัฐบาลจากหลายประเทศออกมาตำหนิการโจมตีเป้าหมายพลเรือน
จากจุดนี้ทำให้กัมพูชาจำเป็นต้องเร่งระดมสรรพกำลังรุกยึดคืนพื้นที่ให้ได้มากที่สุด พร้อมยั่วยุให้ไทยขยายขอบเขตการโจมตีเข้าไปในดินแดนกัมพูชา
เป้าหมายเพื่อกล่าวหาไทยว่า ไม่ได้ใช้มาตรการทางทหารเชิงป้องกัน หรือ Defensive measure แต่ใช้ มาตรการเชิงรุก หรือ Offensive measure แล้วกล่าวหาว่าไทยรุกราน พลิกกลับเป็นกัมพูชาได้เปรียบ
กลยุทธ์ของฝ่ายเรา : ปฏิบัติการทางทหารให้บรรลุตามเป้าหมาย ยึดพื้นที่ของฝ่ายเราให้ครบ 100% ทำลายกำลังรบของกัมพูชาให้ขีดความสามารถด้อยลงเรื่อยๆ พร้อมทำลายขวัญของทหารกัมพูชาให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งเสริมสร้างความเข้มแข็งในระยะยาวให้กับแนวป้องกัน
สิ่งสำคัญคือ ระวังอย่าตกหลุมพรางกลายเป็น “ผู้รุกราน” หรือทำให้เห็นว่าเราใช้มาตรการทางทหารเชิงรุกมากเกินสัดส่วน รวมทั้งเร่งหาทางเปิดเจรจาแบบที่ไทยไม่เสียเปรียบ คือ การวางกำลังต้องกลับไปอยู่ในจุดเดิมก่อนเกิดการปะทะ
ทั้งหมดที่สรุปมานี้ คือการเดินงานด้านความมั่นคง ทั้งสถานการณ์สนาม หน้างานชายแดน, ทั้งหน้างานต่างประเทศ ในเวทีโลก ซึ่งดูแลัวเรายังอยู่ในสถานะ “คุมเกมได้”
ฉะนั้นจุดอ่อนของไทยจึงอยู่ที่ “รัฐบาล” เป็นด้านหลัก เพราะไม่มีนายกฯตัวจริง (ประเด็นนี้อาจกลายเป็นจุดแข็งก็ได้) และไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ยอมตั้ง โดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน
จุดอ่อนที่สำคัญกว่ารัฐบาล คือการมี “สองพ่อลูกชินวัตร” เป็นผู้มีอำนาจ ทั้งตามกฎหมายและอำนาจแฝง คอยกำหนดชะตากรรมของปัญหานี้ และล่าสุดโดนวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็น “ต้นตอของปัญหา” และถูกชาวบ้านเข้าไปตำหนิติด่าโดยตรงขณะอดีตนายกฯทักษิณ ลงพื้นที่ ทั้งๆ ที่กำลังสวมบท “พ่อแห่งชาติ” ทำงานเรียกศรัทธาแทนลูกสาว
ส่วนในโซเชียลมีเดียนั้นไม่ต้องพูดถึง บอกได้คำเดียวว่า “เละยิ่งกว่าโจ๊ก”
เมื่อวันเสาร์มีความเคลื่อนไหวน่าสนใจจากนายกฯแพทองธาร ในฐานะ รมว.วัฒนธรรม ออกมาให้สัมภาษณ์ยาวๆ อีกครั้ง อาจจะยาวที่สุดตั้งแต่เกิดปัญหาคลิปเสียงฮุนเซน
สาระที่พูดมี 2-3 อย่าง หนึ่งคือจับโกหกกัมพูชาเรื่อง “เปิดฉากยิงก่อน” พร้อมแฉพฤติกรรมกัมพูชาเรื่องโจมตีเป้าหมายพลเรือน สองเรื่องนี้ไม่มีใครเถียง
แต่อีกเรื่องที่ถูกเถียงคือ การพยายามอธิบายว่าต้นตอของปัญหานี้ ไม่ได้มาจากตระกูลชินวัตร แต่มาจากปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำให้กระทบผลประโยชน์ของ “อังเคิลฮุน”
เมื่อท่านนายกฯแพทองธารชี้แจงแบบนี้ ก็เลยเกิดคำถามตามมาว่า จริงหรือ...ที่ต้นตอปัญหามาจากเรื่องปราบแก๊งคอลฯ เพราะ “มาตราการ 3 ตัด” ที่รัฐบาลพยายามทำช่วงเดือน ก.พ. เน้นไปที่ชายแดนไทย-เมียนมาเป็นหลัก ส่วนชายแดนไทย-กัมพูชา มาตรการไม่ได้เข้มข้นเท่า แถมยังมีความร่วมมือจากฝั่งกัมพูชากับตำรวจไทยมากพอสมควร
ที่สำคัญ ในคลิปเสียงอังเคิลฮุน ไม่มีข้อความไหนที่นายกฯแพทองธาร พยายามอธิบายหรือทำความเข้าใจเรื่องปราบแก๊งคอลฯ แต่สิ่งที่พูดชัดเจนคือ เคลียร์ประเด็นแม่ทัพภาค 2 ซึ่ง “อังเคิลฮุน” น่าจะกำลังไม่พอใจอย่างแรง
คำตอบของนายกฯแพทองธารในเรื่องนี้ ดูจะไม่ค่อยสอดคล้องกับ “คุณพ่อ” ที่เมื่อวันเสาร์ก็เล่าเรื่องใหม่เกี่ยวกับคลิปเสียงอังเคิลเหมือนกัน โดยไปโยงย้อนกลับไปถึงปัญหารุกล้ำอธิปไตยที่เกิดขึ้นก่อน และมีการเจรจาทางลับ จบที่กัมพูชายอมถอนกำลัง
แต่กัมพูชาถอนเร็ว ตรงกับวันอาทิตย์ แต่ไทยสั่งปิดด่านไปก่อนแล้ว พอวันจันทร์ด่านจึงปิด ทำให้ฮุนเซนจึงโกรธ พูดจาไม่ดีใส่ไทย แล้วนายกฯไทย คือ ลูกสาวของคุณทักษิณ จึงใช้คำว่า “ไม่โปรเฟสชั่นแนล” ทำให้อังเคิลฮุนแค้น วางแผนอัดเสียง
เรื่องเล่านี้ไม่มีความโกรธในเรื่องปราบแก๊งคอลฯ แต่ไปสอดคล้องกับเรื่องเล่าของ คุณจักรภพ เพ็ญแข ที่ว่าอังเคิลฮุน (ฮุนเซนไม่ใช่พ่อ) แค้นที่โดนหลานอิ๊งค์ต่อว่า “ไม่โปรเฟสชันแนล”
ครับ...คุณผู้อ่านเชื่อเรื่องเล่าเรื่องไหนก็ลองพิจารณากันดู
และมีอีกเรื่องที่รอพิสูจน์ คือ คำถามของนักข่าวที่ถามท่านนายกฯอิ๊งค์ ว่าชินวัตรช้ำหนักหรือไม่ที่เจอปัญหานี้
นายกฯตอบทันทีแบบมั่นใจว่า “ไม่ช้ำ” เพราะพวกท่านทำเพื่อชาติ
จะว่าไป บทพิสูจน์ว่า “ชินวัตร” ช้ำ-ไม่ช้ำ? ควรรอดูระยะสั้น 2 อย่าง คือ 1.นิด้าโพล ซึ่งสำรวจประเด็นกัมพูชา แต่มีการตกลงกันภายในว่า น่าจะมีผลต่อความมั่นคงอย่างรุนแรง จึงไม่นำเสนอ
ท่านนายกฯอาจจะไปขอดูผลโพลเป็นการส่วนตัว อาจจะทราบว่า ประชาชนคิดอย่างไร และ “ชินวัตร” ช้ำหรือไม่ช้ำกันแน่
2.เลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ เขต 5 วันที่ 10 ส.ค.รู้เรื่อง ย้อนกลับไปเลือกตั้ง 14 พ.ค.66 เพื่อไทยชนะภูมิใจไทย 7,047 คะแนน สถานการณ์เดิมก่อนมีการยิงกันตามแนวชายแดน เพื่อไทยอาศัยบุญเก่า แม้จะลดลง แต่ภูมิใจไทยก็กระแสไม่ดี จึงคาดว่าเพื่อไทยจะรักษาแชมป์ไว้ได้
แต่ปัจจุบันมีความรุนแรง ประชาชนเดือดร้อน อัดอั้นจากสภาพการณ์ ต้องดูว่าจะส่งผลต่อคะแนนหรือไม่
ส่วนปัจจัยที่กระทบต่อการเมืองภาพใหญ่ในระยะยาว ซึ่งก็คือรัฐบาลแพทองธาร-เพื่อไทย เท่าที่สำรวจดูมีแต่ปัจจัยลบ ได้แก่ นายกฯได้ไปต่อหรือไม่ การไปต่อกับไม่ได้ไปต่อ แบบไหนดีกว่ากัน เผลอๆ ไม่ได้ไปต่อ อาจดีกับรัฐบาลมากกว่า แต่ในแง่ของตัวนายกฯและพ่อนายกฯ คงมองว่า “ไปต่อ” ย่อมดีกว่า
นอกจากนั้น ต้องดูว่าสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ยืดเยื้อแค่ไหน หากยิ่งดึงยาว ยิ่งส่งผลลบ
ถ้าสถานการณ์ดึงยาว มีอันต้องเปลี่ยนนายกฯ และสถานการณ์อื่นรุมเร้า ม็อบกดดัน พรรคร่วมฯจะยังอยู่ครบหรือไม่ ใครจะพายเรือให้ท่านนั่ง?
ส่วนปัจจัยด้านเศรษฐกิจไม่ต้องคิดว่าจะฟื้น, ภาษีทรัมป์ถ้าตัวเลขออกมาไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ล้วนไม่ส่งผลบวกอะไรเลย โดยเฉพาะการที่ทรัมป์ นำเรื่องอัตราภาษีไปเป็นเงื่อนไขกดดันให้หยุดยิง
นอกจากนั้นยังมีคดีชั้น 14 คดี 112 คดี 144 ทยอยตามออกมา
ส่วน “ปัจจัยบวก” หาอย่างไรก็ยังหาไม่เจอ…







