'ฮุน เซน' กับอาชญากรสงคราม เงื่อนไขรบรุนแรงสู่ศาลโลก

น่าสนใจอย่างยิ่ง การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา หลังเกิดเหตุปะทะตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ก่อนขยายวงไปอีกหลายจุด ทั้งอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง
KEY
POINTS
- กัมพูชาภายใต้การนำของฮุน เซน ถูกกล่าวหาว่าจงใจใช้อาวุธหนักโจมตีเป้าหมายพลเรือนของไทย ซึ่งเข้าข่ายการก่ออาชญากรรมสงครามตามกฎหมายระหว่างประเทศ
- การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้มีพลเรือนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากในหลายจังหวัดชายแดน ซึ่งถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา
- นักวิเคราะห์มองว่าการยกระดับความรุนแรงของกัมพูชาเป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างเงื่อนไขให้ข้อพิพาทชายแดนถูกนำขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลก
ประเด็นสำคัญในเหตุการณ์ครั้งนี้ อยู่ที่ว่า ทั้งรัฐบาลไทยและกัมพูชา ต่างอ้างฝ่ายตนไม่ได้ยิงก่อน นี่คือ ประเด็นที่จะต้องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง?
ประเด็นต่อมา เหตุใด กัมพูชา ภายใต้บัญชาการของ “ฮุนเซน” จึงใช้อาวุธหนักยิงเข้าใส่เป้าหมายพลเรือนของไทย ซึ่งเท่ากับสร้างเงื่อนไขรุนแรง ในการตอบโต้ และเข้าข่ายผิด “อาชญากรสงคราม” ด้วย
โดยเฉพาะประเด็น “กัมพูชา” ยิ่งเป้าหมายพลเรือนไทย ถูกมองว่า เป็นการทำผิดหลักสากลในการสงครามและกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ยังแถลงข่าว (25 ก.ค.68) ว่า กองทัพไทย ขอประณามอย่างรุนแรงต่อการใช้อาวุธยิงระยะไกลโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างต่อเนื่องของกองทัพกัมพูชา ซึ่งเป้าหมายพลเรือน
ประกอบด้วย ชุมชนเมือง โรงพยาบาล โรงเรียน ซึ่งการกระทำอันป่าเถื่อนเหล่านี้ได้คร่าชีวิตและสร้างความบาดเจ็บแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากอย่างไร้เหตุผล
จากหลักฐานที่มีอยู่ เชื่อได้ว่า รัฐบาลกัมพูชา โดยสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน คือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง การกระทำไม่เพียงละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงการขาดความเคารพต่อชีวิตมนุษย์และการไม่แยแสต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
การโจมตีพลเรือนโดยเจตนา ถือเป็นอาชญากรรมสงคราม และผู้ที่รับผิดชอบจะต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เราขอเรียกร้องให้องค์กรระหว่างประเทศและประชาคมโลกดำเนินการสอบสวนอย่างอิสระและโปร่งใส เพื่อให้มั่นใจว่าผู้กระทำผิดจะได้รับการลงโทษอย่างเหมาะสม....
และถ้าย้อนดูยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม จะเห็นได้ชัดถึงความสูญเสียที่เกิดกับ “พลเรือน”
ทั้งนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรักษาการนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ช่วงเย็น ว่ามีผู้เสียชีวิต 11 ราย เป็น “พลเรือน” 10 ราย และทหาร 1 นาย และมีผู้บาดเจ็บ 28 ราย เป็นพลเรือนถึง 24 ราย เป็นทหาร 4 นาย
ขณะที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข แถลงว่า มีคนไทยเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงจากการสู้รบชายแดนรวม 12 ราย ประชาชน 11 ราย ทหาร 1 นาย บาดเจ็บกว่า 30 ราย(ข้อมูลเมื่อ 24 ก.ค.68)
แน่นอน, หากการสู้รบยังคงดำเนินต่อไป การเสียชีวิตของ พลเรือน ทหาร รวมทั้งผู้ได้รับบาดเจ็บต้องเพิ่มขึ้น
ทั้งยังมีข้อมูลอีกว่า สาเหตุที่ “พลเรือน” เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บอย่างมาก เนื่องจากการปะทะที่เกิดขึ้น นอกจากจะเกิดกับทหารทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว ความรุนแรงยังขยายวงมาในพื้นที่พลเรือนของฝั่งไทย โดยเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดอีสานตอนล่างติดชายแดนกัมพูชาอย่างน้อย 4 จังหวัดใน 5 อำเภอ ได้แก่ จ.ศรีสะเกษ (อ.กันทรลักษ์), จ.สุรินทร์ (อ.กาบเชิง, อ.พนมดงรัก), จ.บุรีรัมย์ (อ.บ้านกรวด) และ จ.อุบลราชธานี (อ.น้ำยืน) ซึ่งพื้นที่เหล่านี้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
สำหรับพื้นที่ของพลเรือนในฝั่งไทยที่ถูกจรวจหลายลำกล้อง (BM-21) ของกัมพูชาโจมตี ได้แก่ บ้านเรือนประชาชน สถานีบริการน้ำมัน รวมไปถึงโรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์
นอกจากนี้ ถ้าดูจากคลิปวิดีโอที่เผยแพร่โดยกองทัพภาคที่ 2 ยังทำให้เห็นความเสียหายอย่างมาก กับร้านสะดวกซื้อในสถานีบริการน้ำมันปตท. บ้านผือ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งจุดนี้มีประชาชนเสียชีวิต 6 ราย และบาดเจ็บ 10 ราย
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีภาพจากประชาชนผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายรายในอ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โพสต์ภาพและวิดีโอความเสียหายของบ้านเรือนที่ถูกจรวดตกใส่เสียหายทั้งหลัง
ด้าน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) เปิดเผยว่า กองทัพบกโดยกองทัพภาคที่ 2 และกำลังสนับสนุนจากกองทัพอากาศ ยังคงยึดหลักปฏิบัติการตอบโต้ในลักษณะจำกัดวง ซึ่งเป็นการปฏิบัติต่อเป้าหมายทางทหารเป็นหลัก เคร่งครัดกฎกติกา ตามหลักสากล เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อประชาชนสองประเทศ แต่ฝ่ายกัมพูชากลับเลือกเดินในทางตรงกันข้าม ใช้อาวุธโจมตีต่อเป้าหมายพลเรือนอย่างไร้ความปราณี
โฆษก ทบ. ระบุว่า การกระทำของกัมพูชายังถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน กรณีใช้อาวุธหนักโจมตีต่อเป้าหมายพลเรือน และสถานที่ทางประวัติศาสตร์
“การกระทำของกัมพูชาดังกล่าว เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ โดยเฉพาะการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตทรัพย์สินพี่น้องประชาชนที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร”
มาถึงตรงนี้ สิ่งที่จะน่าทำความรู้จักอย่างมากก็คือ การกระทำที่เข้าข่าย “อาชญากรสงคราม”
จากข้อมูล อาชญากรสงคราม คือ ผู้ที่กระทำความผิดฝ่าฝืนกฎหมายและประเพณีการสงคราม ซึ่งรวมถึงการกระทำทารุณต่อเชลยศึก การโจมตีพลเรือนโดยเจตนา การใช้วิธีการทำสงครามที่ผิดกฎหมาย และอาชญากรรมอื่น ๆ ที่ร้ายแรงต่อมนุษยชาติ การพิจารณาความผิดอาชญากรรมสงครามนั้น เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ และมีศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court) เป็นผู้พิจารณาคดี
ส่วนการกระทำที่ถือเป็นอาชญากรรมสงครามนั้น มีดังนี้
- การโจมตีโดยเจตนาต่อพลเรือนที่ไม่ใช่ผู้ทำการรบ
- การทำร้ายเชลยศึก หรือผู้ที่อยู่ในสภาพไม่พร้อมรบ: (hors de combat)
- การใช้วิธีการทำสงครามที่ผิดกฎหมาย : เช่น การใช้อาวุธที่มีพิษ
- การทำลายล้างทรัพย์สินโดยไม่มีความจำเป็นทางทหาร
- การบังคับให้ราษฎรของศัตรูเข้าประจำการในรัฐบาลฝ่ายตน
- การข่มขืน การทำร้ายร่างกาย และการฆาตกรรม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
โดยที่ ความสำคัญของกฎหมายอาชญากรสงคราม
-เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน: ในช่วงสงคราม และป้องกันการกระทำที่โหดร้ายทารุณ
-เพื่อรักษาระเบียบและความสงบเรียบร้อย: ระหว่างการขัดกันทางอาวุธ
-เพื่อสร้างความเป็นธรรม: และลงโทษผู้กระทำผิด
-เพื่อให้เกิดความสงบสุข : และป้องกันความขัดแย้งในอนาคต
สำหรับ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC): -เป็นศาลอาญาระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาคดีอาชญากรรมร้ายแรงที่กระทบต่อประชาคมระหว่างประเทศ มีอำนาจในการพิจารณาคดีอาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่ได้มีอำนาจในการพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามที่เกิดขึ้นก่อนปี 2002
ประเด็นที่น่าตั้งคำถามอย่างยิ่ง อะไรคือสาเหตุของการโจมตีเป้าหมายพลเรือนของกัมพูชา? ไม่น่าเชื่อว่า “ฮุนเซน” จะไม่รู้เรื่อง “อาชญากรสงคราม” รวมถึง การเร่งเกม สร้างเงื่อนไขสู้รบในพื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่ออะไร?
เรื่องนี้ มาฟังการวิเคราะห์จากนักวิชาการ ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา โดยจะขอหยิบยกบางช่วงบานตอนที่บีบีซีไทยรวบรวมเอาไว้(24 ก.ค.68)
เริ่มจาก เหตุการณ์ความรุนแรงยกระดับขึ้นจุดสูงสุดได้อย่างไร
นายวิชานา สาร์ นักวิเคราะห์ชาวกัมพูชาจากราชวิทยาลัยแห่งกัมพูชา ให้ความเห็นว่า ชนวนที่ทำให้ทั้งสองประเทศมาถึงการโต้ตอบทางทหาร เกิดจากฝ่ายไทยเองที่ไม่ยอมนำ 4 พื้นที่ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม (Ta Moan Thom), ตาเมือนโต๊ด (Ta Moan Toch), ปราสาทตาควาย (Ta Kro Bei) และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต (Mombei area) ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกตามที่กัมพูชาเสนอ เพราะเห็นแล้วว่าการเจรจาแบบทวิภาคีไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้กับสองประเทศ
“การล้ำเส้นของไทยตามแผนที่กองทัพประกาศไว้เมื่อวานนี้ ประเทศไทยกำลังทำตัวเหมือนรัสเซียที่กำลังรุกรานยูเครน” นายวิชานา กล่าว
ด้าน ดร.ธนเชษฐ วิสัยจร หัวหน้าสาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เห็นต่างจากนักวิชาการชาวกัมพูชา เขาบอกว่า “การอยู่ติดกับเพื่อนบ้านที่จ้องจะหาเรื่องตลอดเวลา” ทำให้ไทยควบคุมสถานการณ์แนวชายแดนได้ยาก
นักวิชาการจาก ม.อุบลราชธานี เห็นว่า ตระกูลฮุนผู้ปกครองกัมพูชามาหลายสิบปี กำลังยกระดับสถานการณ์ชายแดนให้รุนแรงเพื่อดึงนานาชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง และนำกรณีพิพาทเขตแดนที่มีกับไทยไปสู่เวทีโลก ทั้งที่ไทยพยายามทำให้ปัญหานี้อยู่ในระดับทวิภาคีมาโดยตลอด
เขายังบอกด้วยว่า ความเคลื่อนไหวของกัมพูชาครั้งนี้ ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างคะแนนนิยมในประเทศ จากท่าทีแข็งกร้าวของผู้นำกัมพูชาที่ไม่แสดงความหวาดหวั่นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับประเทศที่พวกเขามองว่า “ใหญ่กว่า”
ด้าน นายแมทธิว วีเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา จากองค์กรอินเตอร์เนชันแนลไครซิสกรุ๊ปหรือไอซีจี (International Crisis Group - ICG) บอกกับบีบีซีไทยว่า “ดูเหมือนว่าสมเด็จฮุน เซน ได้เลือกเล่นไพ่ชาตินิยม เมื่อเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงความไม่แน่นอน” ในอำนาจของทายาทรุ่นสองอย่าง ฮุน มาเนต
“เขายังใช้เล่ห์เหลี่ยมในการจัดการกับความแตกแยกที่มีอยู่แล้วในการเมืองไทยอย่างชาญฉลาด จนทำให้รัฐบาลในกรุงเทพฯ เหลือผู้นำที่เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี และมีพรรคร่วมรัฐบาลที่อ่อนแอ” นายแมทธิว กล่าว
อย่างไรก็ดี วีร็อก อู นักวิเคราะห์การเมืองชาวกัมพูชา ซึ่งเป็นประธานและผู้ก่อตั้งฟิวเจอร์ ฟอรัม (Future Forum) สถาบันคลังสมองด้านนโยบายสาธารณะในกัมพูชา เผยกับบีบีซีไทยว่า จุดเริ่มต้นของความรุนแรงครั้งล่าสุดนี้ เกิดขึ้นเมื่อฝั่งกองทัพไทยประกาศปิดการเข้าถึงปราสาททั้ง 3 หลัง และปิดพรมแดน
“ทันทีที่กองทัพไทย ประกาศปิดปราสาทตาเมือน แล้วจะล้อมรั้วลวดหนาม มันก็เหมือนเป็นการนำไปสู่สงครามแล้ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง กัมพูชาจะยอมรับแบบนั้นได้อย่างไร... เพราะถ้าคุณไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าไปได้เลย ก็เหมือนคุณประกาศให้พื้นที่นั้นเป็นของคุณทั้งหมด ไม่มีใครยอมรับได้หรอก สำหรับผม มันชัดเจนมากว่าการกระทำแบบนั้นก็เหมือนเป็นการ 'ประกาศสงคราม' นั่นเอง" นายวีร็อก กล่าว
ที่สำคัญ คือประเด็น ฝ่ายใดได้ประโยชน์จากการตอบโต้ทางทหารครั้งล่าสุด
ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่ ความเห็นของ นายวีร็อก อู กล่าวว่าจากสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น เป็นไปได้อย่างมากที่กัมพูชาจะเดินหน้าผลักดันให้ข้อพิพาทชายแดนกับไทยกลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเขาเชื่อว่ากฎหมายระหว่างประเทศจะอยู่ข้างกัมพูชา
กลยุทธ์นี้ รวมถึงการเรียกร้องให้มีคนกลางเข้ามาไกล่เกลี่ย หรือยื่นเรื่องต่อองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
“กัมพูชาจะพยายามดึงประเด็นเข้าสู่เวทีโลกแน่นอน เพราะเราเป็นรัฐเล็กกว่า และเราก็เชื่อว่ากฎหมายระหว่างประเทศอยู่ฝ่ายเรา” นายวีร็อกกล่าว
เขายังระบุว่า ความแตกแยกของไทย และการที่แต่ละฝ่ายไม่ไว้วางใจกันเอง ทั้งทางการเมืองและกองทัพ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลดความตึงเครียดและหาทางประนีประนอม พร้อมระบุว่า เป้าหมายหลักกัมพูชาคือการนำสถานการณ์กลับสู่จุดเดิมก่อนเกิดความขัดแย้ง โดยใช้วิกฤตครั้งนี้เพื่อสร้างความชอบธรรมบนเวทีระหว่างประเทศ
“ผมคิดว่า กัมพูชาจะชนะในเป้าหมายนั้น” นายวีร็อก กล่าว
นี่เอง ทำให้เห็นอย่างชัดเชนว่า “กัมพูชา” ภายใต้ “ฮุนเซน” ทำไมเลือกที่จะเสี่ยงโจมตีเป้าหมายพลเรือน เพราะเป็นตัวเร่งชั้นดีให้ไทยต้องตอบโต้อย่างรุนแรง เพื่อความชอบธรรมที่จะเป็นข้ออ้างไปสู่ศาลโลกหรือไม่?
เหนืออื่นใด ไม่ว่าสถานการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา จะยุติอย่างไร หรือไม่ สิ่งที่ “ฮุนเซน”และกัมพูชา ต้องรับผิดชอบก็คือ การถูกนำขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ ข้อหา “อาชญากรสงคราม” ส่วนคุ้มหรือไม่ กับการสร้างเงื่อนไขความรุนแรง เพื่อนำพื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา สู่การพิจารณาของศาลโลก ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป







