งานความมั่นคง ‘ขาขาด’

เราจะอยู่กันแบบงานความมั่นคง "ขาขาด" กองทัพกับรัฐบาลเล่นคนละคีย์ รมว.กลาโหม ก็ไม่มี มีแต่รักษาการ ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศ แม้จะมี “ว่าการ” แต่เหมือนไม่มีรัฐมนตรีอยู่เลย
KEY
POINTS
- ปฏิบัติการของรัฐบาล และหน่วยงานรัฐ หลังเกิดเหตุการณ์พี่น้องทหารหาญเหยียบกับระเบิดจนขาขาด และบาดเจ็บรวม 3 นาย สะท้อนถึงปัญหา และความล้มเหลวแทบจะสิ้นเชิง ของงานด้านความมั่นคง และการต่างประเทศของรัฐบาล
- ทุกกรณีไทยเป็นฝ่ายตั้งรับ ตอบโต้กลับอะไรไม่ได้ ต้องระวังตัวทุกอย่าง ทำให้รู้สึกเสียเปรียบ ขณะที่สงครามข่าวสารของสองพ่อลูก “ฮุนเซน - ฮุนมาเนต” เปิดเกมแฉรายวัน ฝ่ายไทยได้แต่แก้ข่าว ตั้ง ศบ.ทก.ขึ้นมา ไม่ได้มีมาตรการรุกกลับด้านข่าวสารอะไรเลย
- เราจะอยู่กันแบบงานความมั่นคงขาขาด กองทัพกับรัฐบาลเล่นคนละคีย์ รมว.กลาโหมก็ไม่มี มีแต่รักษาการ ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศ แม้จะมี “ว่าการ” แต่เหมือนไม่มีรัฐมนตรีอยู่เลย
ปฏิบัติการของรัฐบาลและหน่วยงานรัฐทุกหน่วย หลังเกิดเหตุการณ์พี่น้องทหารหาญเหยียบกับระเบิดจนขาขาด และบาดเจ็บรวม 3 นาย บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านช่องบก อุบลราชธานี สะท้อนถึงปัญหาและความล้มเหลวอย่างแทบจะสิ้นเชิงของงานด้านความมั่นคง และการต่างประเทศของรัฐบาล
จะเรียกว่า “งานความมั่นคงขาขาด” ก็คงเรียกได้…
เสียงระเบิดดังช่วงสายๆ ของวันพุธที่ 16 ก.ค. สื่อมวลชนและคนไทยรับทราบเหตุการณ์ช่วงค่ำถึงดึกวันเดียวกัน โดย “สาร” ที่สื่อจากกองทัพภาคที่ 2 คือ น่าจะเป็น “ทุ่นระเบิดเก่าตกค้าง”
แต่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้นเลย คือเวลาดึกวันเดียวกัน มีข้อมูลจากฝ่ายทหารเหมือนกันนั่นแหละ ที่สรุปเบื้องต้นชี้ชัดได้ว่า ทุ่นระเบิดที่ทหารเราเหยียบ เป็น “ทุ่นระเบิดใหม่”
เพราะจุดเกิดเหตุเป็นเส้นทางลาดตระเวนของทหารไทย จึงอยู่ในเขตแดนไทย พื้นที่นี้เป็น “พื้นที่สีเขียว” ผ่านการกวาดล้างทุ่นระเบิดจนปลอดภัยแล้ว ได้รับการรับรองจากองค์กรระหว่างประเทศ ภาพถ่ายทุ่นระเบิดที่พบ เป็นของใหม่ รุ่นใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดตกค้างสมัยเขมรแดง และร่องรอยการฝังกลบก็ชี้ชัด
ที่สำคัญ ก่อนทหารเราเหยียบกับระเบิด ก็เคยพบทุ่นระเบิดแบบนี้มาแล้ว เพียงแต่ไม่ได้เหยียบ มีไทม์ไลน์เป็นรายงานชัดเจน
ทว่า ในวันรุ่งขึ้น 17 ก.ค. “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ ยังบอกว่าขอตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน จากนั้นก็มีการให้ข่าวสอดประสานกันว่า ต้องรอ 3 วัน ท่ามกลางความงุนงงสงสัยว่า ทำไมต้องรอ แล้วทำไมไม่ชิงประท้วงกัมพูชา และประจานต่อชาวโลกไปก่อนเลยว่า กัมพูชายังใช้ “ทุ่นระเบิดสังหาร” ทั้งๆ ที่เขารณรงค์กวาดล้างทั่วโลก
แค่นั้นยังไม่พอ เมื่อครบ 3 วัน คือ วันเสาร์ที่ 19 ก.ค. แม่ทัพภาค 2 แถลงผลการตรวจสอบ ยืนยันว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ วางใหม่ และเป็นฝ่ายกัมพูชานั่นแหละที่วาง เพราะทหารไทยคงไม่บ้าวางตัวเอง ในเขตแดนตัวเอง
แต่การประท้วงอย่างเป็นทางการก็ยังไม่เกิดขึ้น เพราะนัดประชุม ศบ.ทก. หรือ ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นัดประชุม “ด่วน” กันวันรุ่งขึ้น คือ วันอาทิตย์ที่ 20 ก.ค. โดยไม่มีใครชี้แจงเหตุผลว่า เมื่อต้องการประชุมด่วน ทำไมจึงไม่ประชุมทันทีในวันเสาร์ แต่กลับต้องรอวันถัดไป แถมเป็นช่วงบ่าย 2 อีกต่างหาก (ไหนว่าผู้ใหญ่ชอบตื่นเช้า)
เมื่อวาน คือ วันอาทิตย์มีประชุม ศบ.ทก.กันไปแล้วก็จริง แต่ยังไม่จบ เพราะเป็นชุดเล็ก ต้องรอเข้าชุดใหญ่วันจันทร์ที่ สมช. หรือสภาความมั่นคงแห่งชาติอีกรอบ
ตลกร้ายไหมที่ขั้นตอนมันดูเยอะเหลือเกิน
1.ทันทีที่เกิดเหตุต้องรอ 3 วัน
2.พอครบ 3 วัน แม่ทัพสรุป แต่ยังขยับทำอะไรไม่ได้ ต้องรอ ศบ.ทก.
3.นำเรื่องเข้า ศบ.ทก. แต่ก็แค่ชุดเล็ก ต้องส่งเข้าชุดใหญ่
4.ระหว่างทางที่เริ่มมีความชัดเจน แถลงกันหลายรอบ ทั้งแม่ทัพ ทั้งโฆษก ทบ. โฆษกกองทัพไทย โฆษก ศบ.ทก. แต่แถลงเพื่อฟังกันเองในประเทศนะ ไม่ได้แถลงแล้วส่งสารไปที่เขมร หรือสื่อสารกับชาวโลกเพื่อกดดันกัมพูชา
5.ส่งเรื่องเข้าชุดใหญ่วันจันทร์
6.อาจจะต้องส่งเข้า ครม.วันอังคารอีกหรือไม่???
ส่วนกัมพูชาไม่เห็นมีขั้นตอนอะไร ให้ข่าวโต้ไทยพร้อมแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษรทันควัน ทันทีที่ไทยสรุปว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่พวกเขานำมาวาง
นี่ยังไม่รู้ว่ากว่าพี่ไทยจะร่างหนังสือร้องยูเอ็น หรือประท้วงผ่านกลไก “อนุสัญญาออตตาวา” ได้ ต้องแปลต้องตรวจทานกันอีกนานเท่าไร หางบฯ จ้างล่ามเอาไว้หรือยัง (ในอดีตคดีขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนบางคดี ล่าช้าจนขาดอายุความ เพราะไม่ได้ตั้งงบจ้างล่ามเอาไว้) ภาษาชาวบ้านบอกว่า ต้องรอถึงลูกบวชหรือเปล่า?
ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ขอสะท้อนความเห็นและความรู้สึกที่เชื่อว่าตรงกับคนไทยอีกหลายๆ คน คือ
1.พวกเราอึดอัดกันมาก อยากให้ตอบโต้กัมพูชาเร็วๆ ไม่ใช่ยิงใส่เขา แต่กดดันเขาให้ได้บ้าง เวลาเขาพลาดแบบที่เป็นอยู่นี้ เรียกว่าจังหวะเข้าทาง จนไม่รู้จะเข้าอย่างไรแล้ว พี่น้องทหารเสียขาไป 1 ข้าง ควรเอาคืนเขมรบ้าง
2. พวกเรารู้สึกว่าประเทศเรา เกียรติภูมิของเรา ถูกกระทำย่ำยีตลอด ไม่ใช่เฉพาะเหตุการณ์นี้ แต่ลองไล่เรียงให้ดู จะพบว่าเป็นทุกเหตุการณ์
- กรณีทุ่นระเบิด คือการทำร้ายทหารไทยในเขตไทย ละเมิดอธิปไตยชัดเจน
- กรณีความวุ่นวายที่ปราสาทตาเมือนธม พอมีคนเสนอให้ล้อมรั้ว กลับกลัวมีปัญหา ทั้งๆ ที่อยู่ในเขตไทย
- กรณีปิดด่าน กลายเป็นฝ่ายกัมพูชาที่ปิดโดยไม่สนผลกระทบ ส่วนไทยเปิดด่านเกือบตลอด และยังกังวลผลกระทบ แต่รัฐบาลก็ไม่เห็นมีโครงการเยียวยาหรือบรรเทาผลกระทบใดๆ ที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้พี่น้องตามแนวชายแดนมีกำลังใจต่อสู้ไปด้วยกัน
- กรณีกัมพูชานำ 4 พื้นที่อ้างสิทธิ์ (หรืออยู่ในเขตไทย) ฟ้องศาลโลก ป่านนี้ไทยตอบโต้อะไรเป็นรูปธรรมบ้างหรือไม่
- กรณีช่วงชิงมรดกทางวัฒนธรรมไปขึ้นทะเบียนยูเนสโก ฝ่ายเราก็ตั้งรับ ชี้แจงช้า ประท้วงช้า ไม่เปิดเกมรุกบ้างเลย
- กรณีเสียงปืนดังที่ช่องบก ไปๆ มาๆ ไทยถูกปล่อยข่าวจนคนเชื่อว่า ฝ่ายเรายิงก่อน
ทุกกรณีไทยเป็นฝ่ายตั้งรับ ตอบโต้กลับอะไรไม่ได้ ต้องระวังตัวทุกอย่าง ทำให้รู้สึกเสียเปรียบ ขณะที่สงครามข่าวสารของสองพ่อลูก “ฮุนเซน - ฮุนมาเนต” เปิดเกมแฉรายวันจนนายกฯเราจะหลุดเก้าอี้อยู่แล้ว ฝ่ายไทยได้แต่แก้ข่าว ตั้ง ศบ.ทก.ขึ้นมา ก็ทำงานแย่กว่าช่วงแถลงข่าวโควิดด้วยซ้ำ ไม่ได้มีมาตรการรุกกลับด้านข่าวสารอะไรเลย
การปราบปรามขบวนการคอลเซนเตอร์ บ่อนกาสิโนผิดกฎหมาย จับกุมเครือข่ายที่เชื่อมโยงผู้มีอำนาจในกัมพูชา ยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรม ได้แต่ปลาซิว ปลาสร้อย ปลายแถว ท่ามกลางข่าวเอื้อประโยชน์ สะกิดกันล่วงหน้า จัดฉากจับ
ขณะนี้เสียงบ่นคนไทยเริ่มดังขึ้น วิจารณ์ทั้งรัฐบาล และกองทัพ จากฮีโร่ท่านกำลังจะเป็น “ฮีลวง” พร้อมคำถามสำคัญ กระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีต่างประเทศหายไปไหน ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้
มีข่าวกระซิบกระซาบให้ได้ยินว่า รัฐมนตรีกระทรวงนี้สรุปบทเรียนจากหลายยุคที่ผ่านมา ผวานิติสงคราม เลยพยายามเดินสายหาภารกิจทำไปต่างประเทศ ไม่ต้องอยู่ไทย จะได้ไม่ต้อง “ถือเผือกร้อน” เรื่องกัมพูชา
เพราะนโยบายเรื่องนี้ เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ดี เพราะมีผลประโยชน์ของผู้มีบารมีเหนือรัฐบาลค้ำคออยู่ ทำให้เดินไม่ถูก ขยับทางไหนแล้วไม่ถูกใจ ภัยอาจมาถึงตัว
ข่าวซุบซิบลามไปถึงการเจรจาภาษีทรัมป์ ทูตสหรัฐฯ ณ กรุงวอชิงตัน ได้แสดงบทบาทแค่ไหน อย่างไร หรือโดนใครแช่แข็งเอาไว้ เพราะ “เป็นคนละฝ่ายกับเรา” เหมือนที่นายกฯแพทองธารเคยบอกกับ “อังเคิลฮุน” เกี่ยวกับแม่ทัพภาค 2 หรือเปล่า
บทบาทกระทรวงการต่างประเทศยิ่งกว่าหายเข้ากลีบเมฆ แต่เป็น “ขอมดำดิน” นอกจากปัญหากัมพูชา ยังมีการเจรจาดับไฟใต้ที่ไม่คืบหน้า ทั้งๆ ที่มาเลเซียโดยนายกฯอันวาร์ ก็พร้อมช่วย หรือแม้แต่สารพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย ท่านก็หายไปเลย แทบไม่เห็นบทบาท
เราจะอยู่กันแบบงานความมั่นคงขาขาด กองทัพกับรัฐบาลเล่นคนละคีย์ รมว.กลาโหมก็ไม่มี มีแต่รักษาการ ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศ แม้จะมี “ว่าการ” แต่เหมือนไม่มีรัฐมนตรีอยู่เลย
ถ้าไม่อายตัวเอง ก็อายเขมรบ้างเถิดครับ ที่พูดว่าถ้าเปิดฉากรบกันเมื่อไร จะจบใน 3 วันนั้น ขนาดที่ผ่านมายังไม่ได้ยิงกัน รบกันแค่สงครามข่าวสาร ไอโอ ยังไม่เห็นได้โชว์ศักยภาพ มีแต่ “พังพาบ” จนคนไทยอย่างพวกเราอยากบอกว่า “พอกันที!”







