คดีใหญ่ในมือศาล จับตา 'ฝ่ายค้าน-รัฐบาล'

คดีใหญ่ในมือศาล จับตา 'ฝ่ายค้าน-รัฐบาล'

การเมืองไทยชั่วโมงนี้ นอกจากเผชิญปัญหา ทั้ง “ศึกใน-ศึกนอก” แล้ว ชะตากรรมของผู้กุมบังเหียนอำนาจ ส.ส., ส.ว. หลายคน ยังแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งคำพิพากษาของศาล

KEY

POINTS

  • การเมืองไทยกำลังเผชิญความตึงเครียดจากคดีสำคัญหลายคดีที่อาจสั่นคลอนทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงเดือนสิงหาคม
  • คดีที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษได้แก่ คดีคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีของ แพทองธาร ชินวัตร, คดีอดีต 44 ส.ส. พรรคก้าวไกล, คดีทุจริตงบประมาณตามมาตรา 144 และคดีฮั้วเลือกตั้ง ส.ว.
  • ผลคำตัดสินของศาลในแต่ละคดีถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงและอาจส่งผลกระทบต่อกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่
  • หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรีขาดคุณสมบัติ อาจต้องมีการเลือกนายกฯ คนใหม่ ขณะที่คดี ส.ส. และ ส.ว. อาจส่งผลต่อเสียงในสภาและเสถียรภาพของรัฐบาล

โดยเฉพาะคดีใหญ่ระดับสั่นสะเทือนรัฐบาลได้เลย ซึ่งคาดว่าไม่น่าเกินเดือนสิงหาคมนี้ ก็จะรู้แล้วว่าออกหัว-ออกก้อย

ความจริง ไม่แต่เฉพาะฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น ที่ลุ้นกันตัวโก่ง หากแต่ฝ่ายค้านเอง ก็โดนคดีที่หนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน

ที่น่าสนใจ สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง ยังออกมาคาดการณ์ด้วยว่า คดีใหญ่ หลายคดีต่างเดินทางมาถึงจุดจบในเดือนสิงหาคม

“สมชัย” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กหัวข้อ “กรกฎาร้อน สิงหาร้อนกว่า”

โดยระบุว่า “ศาลอาญา นัดวันพิพากษาคดี 112 ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วันที่ 22 สิงหาคม 2568

คดีใหญ่ในมือศาล จับตา 'ฝ่ายค้าน-รัฐบาล'

 ศาลฎีกาฯ ไต่สวน คดีชั้น 14 คาดว่าน่าจะเสร็จในเดือนกรกฎาคม และคาดว่าจะมีคำพิพากษา ในกลางเดือนถึงปลายเดือนสิงหาคม 2568

ศาลรัฐธรรมนูญ น่าจะขยายเวลาให้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ส่งคำชี้แจงกรณีคลิปเสียงฮุนเซนได้ถึงปลายเดือนกรกฎาคม และน่าจะมีคำวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ ในช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนสิงหาคม 2568

 กลุ่มชุมนุมของประชาชน นัดหมายว่าจะมีการชุมนุมครั้งต่อไปในกลางเดือนสิงหาคม หากดูปฏิทินที่ตรงกับเสาร์อาทิตย์ จึงคาดว่าวันนัดชุมนุมน่าจะเป็นราววันที่ 16 – 17 สิงหาคม 2568 กรกฎาคม การเมืองว่าร้อน สิงหาคมร้อนกว่าถึงร้อนที่สุด”

ขณะเดียวกัน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ยังกล่าวผ่านรายการ Exclusive Talk : ผ่าทางตัน ซึ่งจัดโดยเครือเนชั่น(18 ก.ค.68)

คดีใหญ่ในมือศาล จับตา 'ฝ่ายค้าน-รัฐบาล'

โดยกล่าวถึง คดีอดีต 44 ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่เคยลงชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็น ส.ส.พรรคประชาชนอยู่ 25 คน จะมีผลกับกลไกสภาฯ หรือไม่ ว่า ขณะนี้ประเทศไทยมี 4 คดี ที่ทุกฝ่ายจับตามองอยู่

ทั้งคดี 44 อดีต ส.ส.ของพรรคก้าวไกล คดี ม.144 เรื่องการผ่านงบประมาณ คดี ฮั้ว ส.ว. และคดีของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เป็นคดีทางการเมืองที่ทุกคนจับตาอยู่ เพราะทั้ง 4 คดี มีผลกระทบกันและกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดก่อนเกิดหลัง จะส่งผลกระทบกับที่เหลือ

แต่ส่วนตัว ไม่มีข้อมูลเบื้องลึกเลย ดังนั้น จึงไม่สามารถตอบได้ว่า คดีไหนใครจะโดนบ้าง และคดีไหน ใครจะมาก่อนหลัง แต่จะส่งผลถึงกันและกันทั้งนั้น ดังนั้น จึงมีเพียงการเตรียมความพร้อม ซึ่งเชื่อว่า พรรคประชาชนได้เตรียมความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ทั้ง การยุบสภา การเลือกตั้งเร็ว และ 44 ส.ส.ที่อาจจะถูกตัดสิทธิ์บางส่วนหรือทั้งหมด ซึ่งพรรคประชาชนก็พร้อมทุกสถานการณ์

ดังนั้น จึงน่าแกะรอย 4 คดี ที่ “ธนาธร” เห็นว่าจะมีผลกระทบเชื่อมโยงถึงกันได้หมด ไม่ว่า คดีไหนจะตัดสินก่อน ตัดสินหลัง

เริ่มจากคดี “44 ส.ส.” เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเรียกอดีต 44 ส.ส.พรรคก้าวไกล เข้ารับทราบข้อกล่าวหา จากการเข้าชื่อเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า ได้มีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาแจงข้อกล่าวหาเรียบร้อย ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาก็ได้ดำเนินการชี้แจงข้อกล่าวหามาแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอองค์คณะพิจารณาคำร้องขอต่างๆ ที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ประกอบการชี้แจงมา ว่าจะให้องค์คณะเรียกพยานหลักฐานอะไรมาประกอบการพิจารณาหรือไม่

เมื่อถามว่า ระยะเวลาการพิจารณาจะได้ข้อสรุปเมื่อไหร่ เนื่องจากคดีนี้มีตัวแปรสำคัญทางการเมือง นายสาโรจน์ กล่าวว่า เราต้องพิจารณาคำร้องคำขอของผู้ถูกกล่าวหาให้ครบถ้วน เพื่อความยุติธรรมของผู้ถูกกล่าวหาทุกราย เมื่อสามารถรวบรวมข้อมูลได้ครบถ้วน ก็ต้องสรุปสำนวนเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาต่อไป ดังนั้นกรอบระยะเวลาขึ้นอยู่กับสำนวน หากสมบูรณ์เมื่อใดก็จะสามารถเสนอสำนวนพิจารณาได้

ทั้งนี้ ตามกฎหมาย หากคณะกรรม ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด และศาลฎีกาประทับรับฟ้อง ส.ส.ที่ถูกชี้มูลความผิดจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที

ต่อมาคือ คดี ม.144 ซึ่งนักวิเคราะห์การเมือง เห็นว่า คดีนี้มีผลกระทบสูงมากต่อฝ่ายรัฐบาล

ล่าสุด คำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก(17 ก.ค.68) หัวข้อ “บทเพลง 144 เริ่มบรรเลงแล้ว!”

สาระสำคัญ ระบุว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องกรณีการกล่าวหาว่า มีการกระทำความผิดตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569

กรณีนี้เกิดจาก ส.ส. พรรคประชาชนเข้าชื่อยื่นคำร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่า “มีบุคคลมีส่วนในการใช้งบประมาณรายจ่าย ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม”

 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับคำร้องไว้พิจารณาเฉพาะประเด็นงบประมาณปี 2569 ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการวิสามัญ ขณะที่กรณีของปีงบประมาณ 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วนั้น ศาลเห็นว่า ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 144 วรรคสาม

 “คำนูณ” ระบุว่า คดีนี้แม้จะร้องเฉพาะ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง แต่ก็ถือเป็นคดีสำคัญ เพราะหากศาลมีคำวินิจฉัยในอีก 15 วันข้างหน้า อาจต้องพิจารณาว่า การกระทำตามมาตรา 144 วรรคสองที่ว่าด้วย “การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ” จะมีผลลงโทษเฉพาะบุคคลหรือไม่

 เขายังชี้ว่า ขณะนี้มีคำร้องอีกคดีหนึ่งที่ยังไม่ถึงศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอิงฐานความผิดตาม มาตรา 144 วรรคหนึ่ง โดยเป็นกรณีการแปรญัตติเพื่อตัดงบประมาณไปใช้คืนเงินกู้ และมีการยื่นผ่าน ป.ป.ช. ตามช่องทางของวรรคสี่ ซึ่งเกี่ยวพันกับทั้ง ส.ส., ส.ว., กรรมาธิการ และคณะรัฐมนตรี

คดีหลังแม้จะยังไม่เข้าสู่ศาล แต่คดีแรกที่ศาลรับไว้ในวันนี้ ก็เพียงพอจะกล่าวได้ว่า

 “บทเพลง 144 เริ่มบรรเลงแล้ว”

อีกคดีคือ ฮั้วเลือกตั้งส.ว. ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีรายงานว่า คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง ชุดที่ 26 เป็นคณะทำงานร่วมระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) มี ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต. เป็นประธาน ได้สรุปสำนวนการสอบสวนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา 2567

 โดยมีมติเสนอ กกต.เห็นควรดำเนินคดีต่อผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 229 ราย แบ่งเป็น สมาชิกวุฒิสภา 138 คน กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย และเครือข่าย 91 ราย ตาม พ.ร ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 70 ประกอบ มาตรา 36 มาตรา 62 มาตรา 76 และ มาตรา 77 (1) ทั้งนี้ มาตรา 76 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดห้ามกรรมการบริหารพรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นใดในพรรคการเมือง ส.ส.ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กระทำการใดที่เป็นการช่วยให้ผู้สมัครผู้ใดได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือทำให้ผู้สมัครผู้ใดไม่ได้รับเลือก รวมถึงถ้าผู้สมัครใดยินยอมให้บุคคลดังกล่าวช่วยเหลือเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต้องระวังโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น

ที่ประชุมคณะกรรมการสืบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหา เข้าข่ายมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าทำให้ได้รับเลือกมาเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยไม่สุจริต เที่ยงธรรม และขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 113 ที่บัญญัติว่า สมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใดๆ ซึ่งในส่วนข้อกล่าวหานี้ หากไปถึงชั้นการพิจารณาของที่ประชุมกกต.และมีมติเห็นพ้องด้วย อาจนำไปสู่การร้องต่อกกต. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคได้...

ล่าสุด (18 ก.ค.68) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า คณะกรรมการสืบสวนไต่สวน ชุดที่ 26 ทำสำนวนเสร็จแล้ว และได้ส่งเรื่องไปสำนักงาน กกต.เพื่อพิจารณา วิเคราะห์ศึกษาความเห็นของคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน และให้เลขาธิการ กกต.แสดงความเห็น และเมื่อมีความเห็นแล้ว ก็จะเสนอไปให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาหรือข้อโต้แย้ง (มีหลายคณะ) ซึ่งจะเป็นผู้ศึกษาวิเคราะห์ช่วย กกต. ก่อนที่จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุม กกต.

“อิทธิพร” กล่าวว่า ผลการสืบสวนไต่สวนของคณะต่างๆ จะถือว่าเป็นความลับ เป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ ในส่วนของขั้นตอนเลขาธิการ กกต.จะใช้เวลา 60 วัน และเมื่อเข้าสู่คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาและข้อโต้แย้ง จะมีเวลาไม่เกิน 90 วัน หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ที่ประชุม กกต.ก็มีเวลาไม่เกิน 90 วัน เช่นกัน

สุดท้ายคือ คดีประธานวุฒิสภา นำคำร้องของ ส.ว. ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยถอดถอน “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีคลิปสนทนากับฮุนเซน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขอขยายเวลาทำคำชี้แจงของ “แพทองธาร” 15 วัน

 หลังจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงจะมีการพิจารณาวินิจฉัย ซึ่งคาดว่า จะอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคม

ประเด็นที่น่าจับตามอง ก็คือ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทางการเมือง

กรณีแรก คดี 44 ส.ส. ซึ่งถ้าหาก 25 ส.ส.พรรคประชาชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอดีต “44 ส.ส.” พรรคก้าวไกล ถูกชี้มูลความผิด และส่งฟ้องศาลฯทั้งหมด หรือ บางส่วน ก็เท่ากับว่า จำนวนส.ส.ของพรรคประชาชนในสภาฯจะลดลง และมีผลต่อเสียงฝ่ายค้าน

กรณีที่สอง คดี ม.144 ประเด็นสำคัญ อาจอยู่ที่ “บทเพลง 144 เริ่มบรรเลงแล้ว” อย่างที่ “คำนูณ” กล่าว นั่นหมายถึง สำนวนคดีที่จะตามมาอีกชุดใหญ่

กรณีที่สาม คดีฮั้วเลือกตั้งส.ว. แค่เห็นตัวเลขในสำนวน มีผู้ถูกกล่าวหาถึง 229 ราย แบ่งเป็น สมาชิกวุฒิสภา 138 ราย กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย และเครือข่าย 91 ราย ก็สะท้านไปทั้งยุทธจักรการเมืองไทยแล้ว

กรณีที่สี่ คดีถอดถอน “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากคลิปสนทนากับฮุนเซน ทำให้ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง จนขาดคุณสมบัติเป็น “รัฐมนตรี” หรือไม่ และถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมีความผิดตามร้อง ก็จะต้องมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จากผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคการเมือง ที่ได้ 25 ที่นั่งขึ้นไป และต้องได้เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรด้วย เรื่องนี้ถือว่า เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในบรรดาทั้งหมด

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่า ทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล ต่างก็โดนคดีหนักพอกัน ส่วนจุดเปลี่ยนทางการเมืองจะไปสู่ทิศทางใด ก็ล้วนน่าติดตามอย่างไม่กระพริบตา!