เงื่อนไข 'นายกฯเฉพาะกิจ' หมากเกมนี้มีแต่ได้กับได้

เงื่อนไข 'นายกฯเฉพาะกิจ' หมากเกมนี้มีแต่ได้กับได้

ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุไปด้วยกระแสความต้องการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หลัง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ถูกฮุนเซน หักหลัง ปล่อยคลิปสนทนาส่วนตัวออกมาประจาน จนนำไปสู่คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้อง “ถอดถอน” ออกจากตำแหน่งไว้พิจารณา และสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ด้วยมติ 7 ต่อ 2 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา

KEY

POINTS

  • พรรคประชาชนเสนอเงื่อนไขพร้อมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หากยอมรับเป็น "นายกฯ เฉพาะกิจ" ที่มีภารกิจหลักในการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน
  • มีการคาดการณ์ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล อาจตอบรับเงื่อนไขดังกล่าวเพื่อขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจ โดยมีเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชน 142 เสียง
  • สถานการณ์การเมืองปัจจุบันถูกมองว่าไร้เสถียรภาพ เนื่องจากรัฐบาลมีเสียง ส.ส. ปริ่มน้ำ และนายกรัฐมนตรีตัวจริงถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
  • เกมการเมืองนี้ถูกวิเคราะห์ว่าพรรคประชาชนจะได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากสามารถผลักดันให้เกิดการเลือกตั้งใหม่ได้ตามที่ต้องการ โดยไม่ต้องเข้าร่วมรัฐบาล

และแม้ หลังจากพรรคภูมิใจไทย ถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อแก้ปัญหาตำแหน่งรัฐมนตรีที่ว่างลงเรียบร้อย

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐบาลที่จะเดินหน้าต่อไป มีเสียงส.ส.ในสภาฯปริ่มน้ำ คือ เกินครึ่งไม่กี่ที่นั่ง

ขณะที่ นายกรัฐมนตรี เป็นแค่นายกฯรักษาการ เนื่องจากตัวจริงถูกศาลฯสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่

ยิ่งกว่านั้น ประชุมสภาผู้แทนราษฎร นัดแรกของสมัยประชุมนี้ ยังมีเหตุสภาล่มอีกต่างหาก อันส่อให้เห็นถึงเสถียรภาพรัฐบาลง่อนแง่นเต็มที ถ้าไปต่อด้วยสภาพอย่างนี้

นอกจากจะทำให้ประเทศเสียหาย ปัญหาประชาชนไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ยังเสี่ยงที่ประชาชนจะลุกฮือขับไล่นายกฯและรัฐบาล จนนำไปสู่การยึดอำนาจในที่สุด

นอกจากนี้ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายกฯแพทองธาร ผิดจริง จนทำให้หลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สิ่งที่จะตามมาก็คือ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในสภาผู้แทนราษฎร จากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่เหลืออยู่ของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งเหลือไม่กี่คน

กล่าวคือ พรรคเพื่อไทย เหลือ นายชัยเกษม นิติสิริ พรรคภูมิใจไทย มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรครวมไทยสร้างชาติ มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (องคมนตรี) และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรคพลังประชารัฐ มี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นอกนั้นมีโอกาสน้อยมาก

จึงมีความเป็นได้สูงที่พรรคเพื่อไทย จะเสนอชื่อ นายชัยเกษม เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อจาก “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เพื่อยังคงรักษาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเอาไว้กับพรรคเพื่อไทยต่อไป โดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก หรืออาจไม่ต่างอะไรกับ “รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง” ในเวลานี้

แน่นอน, ในทางการเมือง สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ เสี่ยงที่จะนำประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้วยวิธีที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยสูง

ด้วยเหตุนี้ พรรคประชาชน (ปชน.) ซึ่งอ่านเกมพรรคเพื่อไทยออกอยู่แล้ว ว่า ถึงอย่างไรก็ต้องลากยาวรัฐบาลไปเรื่อยๆ จนกว่ากระแสนิยมของพรรคจะดีขึ้น ก่อนตัดสินใจ “ยุบสภา” จึงชิงแสดง “จุดยืน” 7 ข้อ เพื่อแก้ปัญหา ไม่ให้การเมืองเดินไปสู่จุดเสี่ยงที่จะเกิดรัฐประหาร หรือ อำนาจนอกระบบเข้าแทรกแซง

 1. พรรคประชาชนเห็นว่าสิ่งที่ประเทศต้องการมากที่สุด คือรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีความชอบธรรมทางการเมือง ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชน และสามารถตั้งทีมบริหารจากความรู้ความสามารถ ไม่ใช่จากการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง

2. พรรคประชาชนเห็นว่ารัฐบาลที่จะมีคุณสมบัติดังกล่าว จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากสมการทางการเมืองของสภาชุดปัจจุบัน ทางออกสำหรับประเทศจึงเป็นการจัดให้มี “การเลือกตั้งใหม่” โดยเร็ว เพื่อให้ประเทศมีรัฐบาลที่มีคุณสมบัติดังกล่าว

3. พรรคประชาชนยืนยันว่า หนทางที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ได้อย่างเรียบง่ายที่สุด คือการที่รักษาการนายกฯ ประกาศให้ชัดเจนว่าจะใช้อำนาจที่ตนเองมี ในการเดินหน้าสู่การยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนผ่านคูหาเลือกตั้ง

4. พรรคประชาชนเห็นว่า หากรักษาการนายกฯ ไม่เลือกดำเนินการดังกล่าวและมีเหตุใดที่ทำให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร พ้นตำแหน่ง กระบวนการเลือกนายกฯ คนใหม่ จะต้องนำไปสู่การได้มาซึ่งนายกฯ ที่พร้อมเดินหน้าสู่การยุบสภา

5. พรรคประชาชนยืนยันเหมือนที่เคยยืนยันมาโดยตลอด ว่า เราจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่เพื่อให้ประเทศไม่ถูกบีบไปสู่ทางตันหรือการใช้อำนาจนอกครรลองประชาธิปไตย เราพร้อมจะพิจารณาลงมติให้กับผู้เสนอตัวเป็นนายกฯ คนใหม่คนใดก็ตาม ที่ยอมรับ “เงื่อนไข” ในการเป็นเพียงรัฐบาลชั่วคราวที่มีภารกิจในการเดินหน้าสู่การยุบสภา โดยทางพรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลและจะไม่มีใครจากพรรคประชาชนไปเป็นรัฐมนตรี

6. “เงื่อนไข” ในการเดินหน้าสู่การยุบสภา สำหรับนายกฯ คนใหม่ จะต้องประกอบไปด้วยอย่างน้อย

 6.1. การประกาศเส้นตายว่าจะยุบสภาภายในสิ้นปี

6.2. การยืนยันภารกิจเฉพาะหน้าที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว (เช่น การดำเนินการให้มีการจัดประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง เพื่อถามประชาชนเรื่องการมี สสร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การคลี่คลายสถานการณ์กรณีพิพาทไทย-กัมพูชาเฉพาะหน้า การทำให้งบประมาณที่จำเป็นต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาปากท้องประชาชนไม่ต้องสะดุดลงเพราะการเลือกตั้ง)

7. หากมีผู้ใดที่ตอบรับ “เงื่อนไข” ดังกล่าว แต่ไม่ทำตามคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชน พรรคประชาชนจะใช้เสียงส.ส. ทั้ง 142 คน และทุกกลไกของสภา เพื่อล้มรัฐบาลที่ผิดสัญญากับประชาชนโดยทันที

นั่นหมายความว่า เสียงส.ส.พรรคประชาชน 142 เสียง จะเป็นกลุ่มก้อนสำคัญในการโหวตเลือก “นายกรัฐมนตรีคนใหม่”

เมื่อพรรคประชาชนมีเงื่อนไขเช่นนี้ สิ่งที่พรรคเพื่อไทย ต้องคิดหนักก็คือ พร้อมหรือไม่ ที่จะทำตามเงื่อนไขของพรรคประชาชน? ถ้าไม่พร้อม ก็ต้องหันไปสำรวจ เสียงส.ส.ของฝ่ายรัฐบาล ว่า เกินกว่าครึ่งจริงหรือไม่?

 สำหรับขั้นตอนโหวตเลือกนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 มีดังนี้

1.แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่จะถูกเสนอชื่อมาโหวตต้องมีชื่ออยู่ในบัญชีของพรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 88 แคนดิเดตนายกฯจากพรรคการเมืองนั้นต้องเป็นพรรคที่มีส.ส. 25 คนขึ้นไป ผู้ถูกเสนอชื่อต้องมีส.ส.รับรองอย่างน้อย 50 คน(ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร)

 2.การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 ด้วยการขานชื่อ ส.ส. ตามลำดับอักษร และให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นรายคน

3.สภาผู้แทนราษฎรจะคัดเลือก ส.ส. ขึ้นมาเป็นกรรมการนับคะแนน ทั้งนี้ บุคคลที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา จึงจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี

4.เมื่อมีความเห็นชอบบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วประธานรัฐสภา คือ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา จะเป็นผู้นำชื่อนายกรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ

สำหรับ ส.ส.ทั้งหมดจำนวน 493 คน โดย ส.ส. 6 คน ที่สมาชิกภาพสิ้นสุดลงเนื่องจากกรณีการยุบพรรคก้าวไกล และถูกตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ประกอบด้วย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์, นายชัยธวัช ตุลาธน, นายอภิชาติ ศิริสุนทร, น.ส.เบญจา แสงจันทร์ , นายสุเทพ อู่อ้น , นายปดิพัทธ์ สันติภาดา และอีก 1 คน นางมุกดาวรรณ เลื่องศรีนิล ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 8 พรรคภูมิใจไทย ที่ถูกศาลฎีกาสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่

ซึ่งบุคคลที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา ปัจจุบันมีจำนวนส.ส. 493 คน จึงต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่ 248 เสียงขึ้นไป

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ จะมีใครถูกเสนอชื่อแข่งกับ “ชัยเกษม” แคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ซึ่งถ้าส.ส.รัฐบาล ที่มีเสียงเกินครึ่งอยู่แล้ว โหวตให้ทั้งหมด โอกาสชนะก็มีสูง

นอกจากนี้ กระแสข่าวที่มาแรง ว่า “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล แคนดิเดตนายกฯจากพรรคภูมิใจไทย จะถูกเสนอชื่อแข่ง และอาจได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชน ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน

 โดยนักวิเคราะห์การเมืองเริ่มจับตามอง การเคลื่อนไหวปิดห้องคุยกัน ระหว่าง “อนุทิน” กับ “เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน ก่อนประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านนัดแรก มีการพูดคุยอะไรกันบ้าง มีข้อเสนออะไรหรือไม่

ที่สำคัญ นักวิเคราะห์บางคน เชื่อว่า หลังฉากมีการ “ดีล” กันไว้แล้ว ว่าจะมีการเสนอ “อนุทิน” เป็น “นายกฯเฉพาะกิจ” เพื่อนำไปสู่การ “ยุบสภา” โดยยอมรับเงื่อนไขตามที่พรรคประชาชนแสดงจุดยืน 7 ข้อ

ทั้งยังวิเคราะห์ด้วยว่า มีความเป็นได้อยู่ไม่น้อยที่ “อนุทิน” จะได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี

เพราะ 1. การที่พรรคประชาชน ประกาศเทเสียงโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยไม่ร่วมรัฐบาล เท่ากับว่า พรรคภูมิใจไทย มีเก้าอี้ “รัฐมนตรี” ที่พร้อมจะจัดสรรให้พรรคร่วมรัฐบาลจำนวนมาก ถ้าจัดสรรตามโควตาจำนวนส.ส.ของพรรคประชาชน จึงน่าคิดว่าพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ไม่สนใจเก้าอี้รัฐมนตรีเหล่านั้นหรือ และยังอาจเป็นเก้าอี้ตัวใหญ่ขึ้น(กระทรวงใหญ่)ด้วย

 2.สถานการณ์ที่พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ถูกพรรคเพื่อไทยเอาเปรียบ จัดสรรกระทรวงเล็ก และ รมช.ให้ดูแล และแม้แต่ “สภาล่ม” ก็โยนความผิดให้ ยังพอใจที่จะอยู่กับพรรคเพื่อไทย หรือไม่ จะเป็นคำตอบว่า เสียงที่จะมาเติมเต็มให้กับ “อนุทิน” มาจากไหน?

แค่นี้ก็เห็นแล้วว่า มีสิ่งจูงใจมากพอที่จะช่วยให้ “อนุทิน” สมหวังในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ส่วน “เงื่อนไข” ยุบสภาฯ นอกจากพรรคเพื่อไทยที่ยังไม่พร้อมที่จะเลือกตั้งแล้ว ดูเหมือน พรรคอื่นรับได้หมด และไม่ได้เสียหายอะไรกับการเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ เพื่อทำในสิ่งที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน

 เหนืออื่นใด พรรคที่จะเข้ามาร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่ได้ฝืนความรู้สึกอะไร เพราะเคยร่วมรัฐบาลกันมาแล้ว ทั้งยังคงเป็นรัฐบาลขั้วอนุรักษ์เหมือนเดิม เลือกตั้งครั้งหน้าค่อยว่ากันใหม่ ส่วนพรรคประชาชน ที่หวังสูงกับการเลือกตั้งครั้งใหม่ หมากเกมนี้มีแต่ได้กับได้ หรือไม่จริง