‘AMERICA PARTY พรรคการเมืองใหม่ของสหรัฐฯจะเกิดขึ้นได้จริงหรือ?’

‘AMERICA PARTY พรรคการเมืองใหม่ของสหรัฐฯจะเกิดขึ้นได้จริงหรือ?’

เรากำลังจับตามองการเปลี่ยนแปลงการเมืองภายในสหรัฐฯ ก็ต้องมองอีกด้านหนึ่งด้วยความระมัดระวังคือวิกฤติการส่งออกของไทยซึ่งพึ่งพาต่อผลการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐฯ

หากมีพรรคการเมืองใหม่เข้ามาแย่งคะแนนเสียงจากฝั่งอนุรักษ์นิยม จะส่งผลให้เสรีนิยมกลับมายึดอำนาจทางนิติบัญญัติและบริหารได้หรือไม่และเร็วเพียงใด?หรือเป็นเพียงแค่คำขู่เพื่อการต่อรองโดยหวังผลประโยชน์ส่วนตัว?

ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงระหว่างคู่สหาย MUSK & TRUMP ; the first buddies ที่เพิ่งกลายเป็นคู่แข่งหรืออาจจะเป็นศัตรู Musk vs. Trump ตามที่หลายคนได้คาดไว้ว่าเสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้ ได้ปะทะกันอีกเป็นครั้งที่สอง ท้าทายอำนาจก็ลองเชิงกันว่าใครจะอยู่ใครจะไป

Elon Musk ขู่ว่าถ้ากฎหมายงบประมาณครั้งนี้ผ่าน เขาจะทุ่มสุดตัวเพื่อทำลายพรรครีพับลิกัน โดยการตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาเป็นทางเลือกตั้งชื่อว่า America Party และจะสนับสนุนการท้าชิงในรอบแรกของการเลือกตั้ง (primary elections) ตัดอนาคตของนักการเมืองรีพับลิกันหรือใครก็ตามที่ลงคะแนนเสียงให้กับงบประมาณครั้งนี้

‘เงินบริจาคเป็นปัจจัยที่อาจจะสำคัญที่สุดในการเลือกตั้งในรอบแรกของอเมริกา เพราะฉะนั้นคำขู่ครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่ทำให้นักการเมืองที่อยู่ในตำแหน่งปัจจุบันนั้นหวาดวิตกเป็นอันมาก’

Elon Musk ย้ำว่างบประมาณนี้เป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังมาก และจะสร้างหนี้อย่างมหาศาลให้กับอเมริกา และเป็นการทำลายความมั่นคงอย่างที่เขายอมไม่ได้ ขณะที่ทรัมป์บอกว่านี่เป็นกฎหมายที่ใหญ่และสวยงามที่สุดและจะต้องผลักดันให้สำเร็จจนได้ ‘หากใครก็ตามที่จะขัดขวางก็จะต้องเจอกับตนอย่างแน่นอน’ และได้ประกาศขู่จะชนกับMuskทุกด้าน ทั้งการเงินและสัญญาต่างๆกับรัฐบาล รวมทั้งหาทางพิจารณาเนรเทศ

การตั้งพรรคการเมืองใหม่ในสหรัฐฯเป็นเรื่องที่ทำได้โดยไม่ขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ

และไม่มีข้อใดที่ระบุให้สองพรรคการเมืองใหญ่อย่างปัจจุบันมีอิทธิพลแบบผูกขาด แต่ที่ยังไม่มีพรรคการเมืองที่ 3 มาเป็นทางเลือกนั้นเนื่องจากมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ยังไม่อำนวย ‘โดยเฉพาะทรัพยากรทางการเงิน’

ปัจจุบันชาวอเมริกันเรียกตนเองว่าเป็นชาวเดโมแครตประมาณ 38% เป็นรีพับลิกัน 30% และเป็นผู้ที่ไม่มีสังกัดอีก 28% และที่เหลือเป็นอื่นๆ

ถึงแม้ฝ่ายเสรีนิยมเดโมแครตดูเหมือนได้เปรียบแต่ก็ไม่สามารถจะชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง ยกตัวอย่างเช่นรีพับลิกันสามารถดึงคะแนนจากผู้ไม่มีสังกัดมาได้และครั้งที่แล้วชนะเพียง 1.5% เท่านั้น

หากความขัดแย้งระหว่างสองคนนี้ไม่ลดลงและเกิดพรรคการเมืองที่สามขึ้นจริงจะทำให้รีพับลิกันสีแดงแตกเป็นเสี่ยง ซึ่งหมายความว่าเดโมแครตสีน้ำเงินจะมีโอกาสชนะการเลือกตั้งกลางเทอมเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2026 และชิงเสียงข้างมากในสภาในสภาหนึ่งได้ และอาจนำไปถึงชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2028

สองพรรคการเมืองใหญ่เปลี่ยนดุลอำนาจกันมาตลอด ครั้งนี้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมรีพับลิกันยึดทั้งทำเนียบขาวคือฝ่ายบริหารและสภาสูง กับสภาล่างคือฝ่ายนิติบัญญัติ รวมทั้งใช้อิทธิพลอย่างแยบยลคัดสรรตุลาการศาลฎีกาสูงสุดของประเทศเพื่อตัดสินชี้ขาดคดีสำคัญต่างๆ ซึ่งการคุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จในวอชิงตันดีซียุคนี้นำมาสู่การประกาศของประธานาธิบดีในโครงการสุดโต่งที่หลายเรื่องเป็นการช็อคโลกทั้งภาษีศุลกากรและการถอดถอนอเมริกาออกจากเวทีโลกต่างๆ

เพราะฉะนั้นฝ่ายเสรีนิยมก็คงอยากเห็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมบั่นทอนซึ่งกันและกันและทำให้ความสมดุลย์ทางการเมืองเปลี่ยนไปโดยรวดเร็ว

เสียงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองของสหรัฐฯมีมาต่อเนื่องโดยตลอด แต่ทำได้ยากเนื่องจากมีผลประโยชน์ซับซ้อนของกลุ่มใหญ่สองกลุ่มที่รวมตัวกันเป็นอาจเป็นธรรมชาติ ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกก็ลงเอยที่อนุรักษ์นิยม vs. เสรีนิยม

พรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่ผ่านมา Trump 2.0 นำนโยบายเอาใจฝ่ายขวา เน้นการใช้ทุนต่อทุน ปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มชนที่มีทรัพย์สิน และเน้นถึงความอยู่รอดของอเมริกาด้วยการยึดแนวทางคล้ายที่ผ่านมาหรือเป็นแบบย้อนยุค

ขณะที่พรรคเดโมแครตอยู่ในระหว่างการรวมพลังตั้งสติและจับแนวทางใหม่ให้ชัดเจนเพื่อเอาชนะการเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไปให้ได้ โดยหวังพึ่งการสื่อสารและเข้าถึงใจของผู้ที่มีโลกทัศน์กว้าง คนหนุ่มสาวที่ใช้เทคโนโลยีคล่องแคล่ว ข้ามภาษา ข้ามวัฒนธรรม เป็นชาวผิวสี เป็นลูกต่างด้าว ยอมรับในสิ่งใหม่ และความเสมอภาคทางเผ่าพันธุ์และเพศเป็นต้น

ขณะที่เรากำลังจับตามองการเปลี่ยนแปลงการเมืองภายในสหรัฐฯ ก็ต้องมองอีกด้านหนึ่งด้วยความระมัดระวังคือวิกฤติการส่งออกของไทยซึ่งพึ่งพาต่อผลการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐฯ

นโยบายภาษีศุลกากรที่เขย่าโลกมาเป็นเวลาหลายเดือนและมีเส้นตายในวันที่ 9 กรกฎาคม ‘ให้ประเทศต่างๆเจรจาด้วยความจริงใจ มิฉะนั้นจะถูกลงโทษโดยการถูกกำหนดอัตราสูงมาก’ เช่น กรณีของไทยที่ชั่วคราวอยู่ 10% อาจจะกลับไปเป็น 36% เหมือนวันปลดแอก 2 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ความคืบหน้าของการเจรจาของรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐนั้นยังไม่มีความชัดเจนว่าได้ทำอะไรเป็นรูปธรรม

Trump อ้างว่าเจรจาสำเร็จแล้วกับสองประเทศคือสหราชอาณาจักรและเวียดนาม แต่เมื่อขุดคุ้ยรายละเอียดแล้วก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นสาระอย่างจริงจัง เพียงแต่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อว่ามีโมเมนตัม และเข้าแผนยุทธศาสตร์ล้ำลึก และอัตราภาษี 20% ที่ตั้งไว้ต่อเวียดนามนั้นก็อาจจะไม่ใช่เป็นอัตราที่ตกลงกันจริงก็ได้หรือการขู่ใช้ภาษี 40% เพื่อป้องปรามการสอดไส้ของจีนก็อาจจะเป็นนโยบายที่ไม่ได้ผล

สำหรับไทยก็คงหวังที่การมีเวลาหายใจต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะสหรัฐอเมริกาเองทำไม่ได้อย่างที่ตนเองประเมินไว้ และเวลา 90 วันนั้นจะหมดลงโดยที่ไม่มีสนธิสัญญากับประเทศใดเลย

ความซับซ้อนอีกอย่างสำหรับไทยคือ'การเปลี่ยนแปลงระดับสูงถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เปราะบาง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงประเทศที่ไม่สามารถจะประสานงานอย่างเป็นทางการได้เช่นปกติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นคนใหม่

เรื่องนี้จะทำให้ทางสหรัฐฯใช้เป็นข้ออ้างหรือข้อแก้ตัวที่จะทำให้เป็นความได้เปรียบในการเจรจา หรืออาจจะเป็นข้ออ้างของไทยที่จะนำมาซื้อเวลาและใช้ความนิ่มนวลทางการทูตเพื่อช่วยต่ออายุของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมการส่งออกไปอีกระยะหนึ่ง แต่ใครคือผู้ที่จะไปเจรจากับสหรัฐอเมริกาในนามของประเทศไทยในวันนี้ครับ?