นิติสงคราม ปิดฉาก‘รัฐบาล’ กองทัพ ฝังกลบ‘รัฐประหาร’?

การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ยิ่งเกี่ยวพันกับความไม่มั่นคง เก้าอี้นายกฯยิ่งไปไว ควบคู่กับการนัดชุมนุมใหญ่ กลุ่มรวมพลังแผ่นดินในเดือน ส.ค.จะเป็นตัวเร่งสถานการณ์
KEY
POINTS
- “รัฐประหาร” บทเรียนในอดีตชี้วัดผลลัพธ์ ได้ไม่คุ้มเสีย นอกจากทำประเทศถดถอย ยังไม่สามารถแก้ความขัดแย้งทางการเมืองได้จริง
- การประกาศ“แช่แข็งรัฐประหาร”ของ “ผบ.ทบ.”เริ่มตั้งแต่ยุค พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ มาถึง พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ โดยเฉพาะปัจจุบัน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์
9 เดือน “ภูมิธรรม เวชยชัย” ในตำแหน่ง “รมว.กลาโหม” การันตีว่า มายด์เซ็ต“ผบ.เหล่าทัพ”เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์โลก และบริบททางสังคม
ทั้งเรื่องการปรับโครงสร้างกองทัพให้กะทัดรัด ลดกำลังพล จัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์เท่าที่จำเป็น ให้สอดรับกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งถูกปูทางดำเนินการให้เป็นรูปธรรมในอนาคต
ส่งผลให้โครงการจัดซื้อ“เรือดำน้ำ”ที่ถูกแขวนไว้ ขยับเขยื้อน ก่อนที่ “ภูมิธรรม” จะข้ามไปคุมกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามอนุมัติรอบรรจุเข้าวาระ ครม. โดยเปลี่ยนเครื่องยนต์ที่ผลิตในจีน ควบคู่กับขออนุมัติขยายกรอบระยะเวลา
รวมไปถึงการพิจารณาแบบเครื่องบินขับไล่โจมตีฝูงใหม่ ตามที่“กองทัพอากาศ”คัดเลือกเสนอ“กริพเพน” อี/เอฟ จากสวีเดน เตรียมเข้า ครม.กลางเดือน ก.ค.เช่นกัน
ส่วนโครงการจัดหา“เรือฟริเกต”ของ“กองทัพเรือ” มีแนวโน้มได้ 2 ลำตามความต้องการ จากเดิมรัฐบาลเคยบอกจะอนุมัติให้เพียงลำเดียว
เห็นได้ชัดในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 คณะกรรมาธิการฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล อภิปรายสนับสนุนเรื่องความคุ้มค่าทางยุทธการ
“กองทัพบก”มีแผนจัดหา“เฮลิคอปเตอร์”ต่อเนื่อง การจัดหาอากาศยานไร้คนขับ ยานเกราะล้อยาง ซึ่งอยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 ส่วนการดำเนินการตามแผนป้องกันประเทศ ในการตอบสนองการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในการป้องกันชายแดน อาจต้องสนับสนุนงบประมาณเพื่อรองรับสถานการณ์เฉพาะหน้า
เช่นเดียวกับการ “รัฐประหาร” บทเรียนในอดีตชี้วัดผลลัพธ์ ได้ไม่คุ้มเสีย นอกจากทำประเทศถดถอย ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมโลกแล้ว ยังไม่สามารถแก้ความขัดแย้งทางการเมืองได้ เพราะสถานการณ์วนลูปกลับสู่จุดเดิม
ขณะที่ “กองทัพ” กลายเป็นแพะรับบาปแทนรัฐบาล และนายกฯที่ล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินจนเกิดวิกฤติศรัทธาประชาชน แต่ได้ทางลงแบบสวยงาม
เห็นได้ชัดจากการประกาศ“แช่แข็งรัฐประหาร”ของ “ผบ.ทบ.”ตั้งแต่ยุค พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ต่อเนื่องมาถึง พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ โดยเฉพาะคนปัจจุบัน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์
แต่ด้วยบุคลิก “พล.อ.พนา” นิ่ง เงียบ ยากที่จะคาดเดา กลายเป็นที่จับจ้องของฝ่ายการเมือง เหตุเพราะ ผบ.ทบ. คนเดียวที่ยังอยู่ในราชการจนถึงปี 2570 ส่วน ผบ.เหล่าทัพอื่นเกษียณกันยายน 2568 นี้
ภาพลักษณ์ “ผบ.เหล่าทัพ” ตัดขาดเรื่องการเมือง หันหน้าสู่ความเป็นทหารอาชีพ ยึดมั่นการทำหน้าที่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ปกป้องอธิปไตยและภัยความมั่นคงทุกมิติ
ขณะที่ปัญหาวิกฤติการเมือง ปล่อยให้การเมืองแก้กันเอง ผ่านกระบวนการตรวจสอบขององค์กรอิสระ ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. ที่กำลังงวดเข้ามาทุกขณะ
ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 36 คน กรณีคลิปเสียงสนทนาแพทองธาร-ฮุน เซน ขอให้พิจารณาความเป็นนายกฯของ “แพทองธาร ชินวัตร” สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)
พร้อมทั้งขอมีคำสั่งให้ “แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี และกำหนดกรอบเวลาส่งคำชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน
นับจาก 1 ก.ค. และสามารถขอขยายเวลาได้อีก 2 ครั้ง ๆ ละ 15 วัน เบ็ดเสร็จรวม 45 วัน แต่การขยายเวลา 2 รอบ ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะให้หรือไม่
อดีต รมว.กลาโหม ภูมิธรรม กล่าวไว้ว่า "เรื่องการรัฐประหาร พยายามให้ตาย ก็ยากที่จะเกิดขึ้น และเท่าที่อยู่กระทรวงกลาโหม และได้พูดคุยกับผู้บังคับบัญชาส่วนต่างๆ ผู้บัญชาการทั้ง 4 เหล่าทัพก็ยืนยันว่า วันนี้ประเทศวิกฤติิ อยากจะช่วยให้ผ่านพ้นไปได้ เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในความคิดคำนึงของนายทหารชั้นผู้ใหญ่เลย วันนี้เขาอยากให้เราแก้ปัญหานี้ได้ทั้งหมด"
“ส่วนการใช้นิติสงคราม เป็นเพียงคำเปรียบเปรย ผมมองว่ากระบวนการยุติธรรมเป็นกลไกหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องดำเนินการไป หากมีการตั้งคำถาม ทุกคนมีหน้าที่ต้องชี้แจงข้อสงสัย เพื่อทำความเข้าใจ ผมเชื่อมั่นในกฎหมายว่ามีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ ดังนั้นมองว่าไม่ใช่ปัญหา”
ทว่า การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ตามสถานการณ์ในแต่ละวัน ยิ่งเกี่ยวพันกับความไม่มั่นคง เก้าอี้นายกฯของ“แพทองธาร”ยิ่งไปไว ควบคู่กับการนัดชุมนุมใหญ่ กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยในเดือน ส.ค.จะเป็นตัวเร่งสถานการณ์
ดังนั้น ปัจจัยที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่สามารถชี้วัดอนาคตได้ การ“รัฐประหาร”แม้จะเกิดยาก แต่ใครจะกล้าการันตี หากสถานการณ์พัฒนาไปสู่ภาวะไร้การควบคุม







