วิกฤติศรัทธา นายกฯแพทองธาร

รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กำลังเผชิญกับวิกฤติความเชื่อมั่นที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ ท่ามกลางแรงกดดันจากปัญหาเศรษฐกิจที่ซับซ้อนและท้าทายมากขึ้น
ประกาศเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าในสหรัฐทุกประเภทกับประเทศที่ได้ดุลการค้า ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเก็บภาษีไทย 36% มีช่วงผ่อนผันถึงวันที่ 7 ก.ค.2568 ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบจีดีพีและการส่งออกไทยอย่างมาก โดยที่ผ่านมาการตอบสนองของรัฐบาลต่อผลกระทบยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนนัก
ในขณะที่ปัญหาความขัดแย้งในเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชากลายเป็นประเด็นที่สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ และมีข้อวิจารณ์ถึงศักดิ์ศรีของชาติอย่างมาก การจัดการปัญหาที่ไม่โปร่งใสและขาดการสื่อสารที่ชัดเจนกับประชาชน ส่งผลให้เกิดความไม่ไว้วางใจในกระบวนการทางการทูตของประเทศไทย และนำมาสู่ความไม่ไว้วางใจว่ารัฐบาลจะปกป้องผลประโยชน์ชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ และขาดความเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติในระยะยาว
การตัดสินใจของพรรคภูมิใจไทยในการถอนตัวจากรัฐบาล โดยรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยส่งใบลาออกมีผลตั้งแต่วันที่ 19 มิ.ย.2568 โดยอ้างจากประเด็นคลิปเสียงการสนทนากับฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงเสถียรภาพรัฐบาล แพทองธาร ซึ่งทำให้นายกรัฐมนตรีต้องให้ความสำคัญกับพรรคเล็กมากขึ้นเพื่อให้รัฐบาลยังคงมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรคมีผลต่อการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล
แม้ว่ารัฐบาลแพทองธาร จะพยายามปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อแก้ไขปัญหาและสร้างความเชื่อมั่น แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกลับไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นบวกได้ตามที่คาดหวัง กระบวนการต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีที่ยืดเยื้อและขาดความชัดเจน ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในแวดวงการเมืองและเศรษฐกิจ ภาคเอกชนและประชาชนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับทิศทางการบริหารประเทศ และความสามารถของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่
สิ่งที่รัฐบาลต้องเผชิญในขณะนี้ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาเศรษฐกิจหรือการเมืองเท่านั้น แต่เป็นวิกฤติความเชื่อมั่นที่ลึกซึ้งและครอบคลุมทุกมิติของการบริหารประเทศ หากรัฐบาลแก้ไขปัญหาทั้งหลายไม่ได้เป็นรูปธรรม ก็อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารงาน เพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน และสร้างแผนรองรับที่ชัดเจนเพื่อรับมือกับความท้าทายที่กำลังจะมาถึงทั้งระยะเร่งด่วนและระยะยาว







