'ฮุน เซน' บีบไทย หรือ ฮุน เซน บีบใคร ?

ยุทธศาสตร์กดดันไทยที่ สมเด็จฮุน เซน นำมาใช้ คือ ยุทธศาสตร์เดินสองขา ขาที่หนึ่ง สร้างความปั่นป่วนให้กับการเมืองภายในของไทย ขาที่สอง เดินเกมการเมืองนอกประเทศ ลากข้อพิพาทกับไทยไปขึ้นศาลโลก
KEY
POINTS
-
ยุทธศาสตร์กดดันไทยที่ สมเด็จฮุน เซน นำมาใช้ คือ ยุทธศาสตร์เดินสองขา ขาที่หนึ่ง สร้างความปั่นป่วนให้กับการเมืองภายในของไทย ขาที่สอง เดินเกมการเมืองนอกประเทศ ลากข้อพิพาทกับไทยไปขึ้นศาลโลก
-
ความต้องการที่แท้จริงของสมเด็จฮุน เซน อาจจะเป็นการแบล็กเมล “คนตระกูลชินวัตร” เพราะหลักฐานที่เปิดออกมา พุ่งเป้าไปที่ “ชินวัตร” เท่านั้น
-
ถ้าผู้มีอำนาจซึ่งนามสกุลชินวัตร ไม่อยากถูกเปิดหลักฐานมากกว่านี้ ก็น่าจะต้องยอมทำบางอย่าง ตามที่เขมรต้องการ ถ้าไม่ทำ ก็จะโดนเปิดหลักฐานให้คนคลางแคลงใจเพิ่มขึ้น เติมเชื้อไฟทางการเมืองให้รัฐบาลอยู่ต่อไปได้ยาก
ไม่รู้สังคมไทย หรือสื่อไทย ที่ลืมง่าย (หรือว่าทั้งสอง) แต่อาการ "ลืมง่าย" ของสังคมไทย ทำให้นักการเมืองสบาย และทำอะไรโดยไม่ต้องเกรงกลัว แม้จะเคยมีบทเรียนให้เห็นทนโท่อยู่ก่อนแล้วก็ตาม
ยกตัวอย่าง เมื่อไม่นานมานี้ ช่วงหลังสงกรานต์ ราวๆ สองเดือนที่แล้ว มีเหตุรุนแรงเลวร้ายต่อเนื่องที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งฆ่าเณร ฆ่าเด็ก ฆ่าผู้หญิง คนแก่ คนพิการ ฯลฯ ช่วงนั้นกระแสตำหนิติเตียนรัฐบาลหนักหน่วงรุนแรงว่าไม่มีน้ำยาดับไฟใต้
ผ่านมาไม่นาน ทุกอย่างเงียบหาย วันนี้มีเหตุรุนแรงรายวัน ระเบิดกระทั่งกลางงานกาชาดปัตตานี ตลาดโต้รุ่ง แถมเจอโดรนต้องสงสัยฝังดิน ดัดแปลงติดระเบิดได้ แต่กลับไม่ถูกพูดถึงมากนัก แทบไม่ค่อยมีข่าวปรากฏในหน้าสื่อเลยด้วยซ้ำ ทำให้รัฐบาลลอยตัว ทั้งๆ ที่โจรใต้ก่อเหตุซ้ำเติม สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างชัดเจน
ทำให้เกิดภาพ ชายแดนด้านตะวันออก (กัมพูชา) ประเทศไทยก็ติดบ่วง หาทางออกยังไม่ได้ ชายแดนภาคใต้ ก็มีปัญหาเรื้อรัง แถมปะทุรุนแรง
ที่สำคัญในช่วง รัฐบาลชินวัตร 2 ยุคก่อนหน้า ทั้งไทยรักไทย และเพื่อไทย 1 ก็มีบาดแผลจากไฟใต้เหวอะหวะ แต่เราก็ไม่ค่อยได้จำ หรือไม่ก็ลืมเร็ว
กลับมาสถานการณ์ปัจจุบัน ประเด็นคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ อิ๊งค์ กับสมเด็จฮุน เซน เริ่มลดแรงกดดันทางการเมืองลงไป สื่อและสังคมส่วนใหญ่หันมาโฟกัสเรื่องโฉมหน้า ครม.ใหม่มากกว่า โดยมี “ดราม่ากอดเก้าอี้” กับ “ดราม่าแย่งชามข้าว” มาสลับฉาก เรียกความสนใจ
ผมคิดเองในแง่ร้ายสุดๆ ว่า เผลอๆ อาการยึกยักของรวมไทยสร้างชาติ อาจเป็นพล็อตที่ถูกสร้าง เพื่อให้การตั้งรัฐบาลใหม่หนนี้มีสีสัน แล้วสุดท้ายก็ “วิน-วิน” ไปด้วยกัน เพราะแกนนำพรรคนี้ เจ้าของโลโก้ “คนดีย์” เขาจองเก้าอี้ตั้งแต่ก่อนไก่โห่แล้ว
ความหวังของคนที่มองว่า เรื่องคลิปสนทนากับฮุน เซน ร้ายแรงถึงขั้นยอมไม่ได้ ต้องกดดันให้นายกฯลาออกไป จึงต้องฝากไว้ที่การนัดชุมนุมรอบใหม่ของคนหน้าเดิม และ “นิติสงคราม” ที่มีการไปยื่นเรื่องยื่นคำร้องเอาไว้ที่องค์กรอิสระเท่านั้น
เพราะคนที่คิดว่านายกฯ จะลาออก นายกฯ จะยุบสภา ทหารจะออกมารัฐประหาร นาทีนี้บอกได้เลยว่า “ได้แค่คิด” โดยเฉพาะที่ลือกันว่า นายกฯ จะยุบสภา จะลาออก เป็นแค่ “ฝันกลางวัน”
การนัดประชุมปรับ ครม. แบ่งโควตากันในโรงแรมหรูกลางกรุงเมื่อวานนี้ คือ เครื่องยืนยันว่า ฉากทัศน์การเมืองที่ว่านั้น เป็นแค่ความฝันอันเลื่อนลอย
อย่าไปหวังการแสดงสปิริตหรือความรับผิดชอบใดๆ รอฟังวาทกรรมเบี่ยงเบนที่สวยหรู เข้าใจง่าย ประเภท “รวมกันเป็นหนึ่ง” จะสบายใจกว่า
เพื่อไทยเล่นเกมนี้ง่ายมาก เพราะทันทีที่พรรคประชาชน ประกาศไม่จับขั้วกับพรรคการเมืองที่เหลือในการจัดตั้งรัฐบาล ก็เท่ากับการออกใบอนุญาตให้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลต่อไปนั่นเอง เนื่องจากพรรคอื่นๆ ที่เหลือ รวมกันทุกพรรค ทุกเสียง ก็ยังห่างไกล “ครึ่งสภา”
ไม่อยากจะคิดในแง่ร้ายว่าสองพรรคใหญ่เขาคุยกันนอกรอบหรือเปล่า...รอบนี้ของเรา รอบหน้าค่อยเป็นของคุณ แล้วเราไปเป็นพรรคร่วมฯให้
เพราะพรรคประชาชนก็ติดล็อกเงื่อนตายทางการเมือง สร้างภาพสวยหรูเอาไว้เยอะ ทำให้ขยับตัวลำบาก
พันธมิตรแทบจะเหลือหนึ่งเดียวคือ เพื่อไทย และพวกเขาก็อาจจะถูกหลอกใช้ไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่รู้ แต่ก็อาจจะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้
คนไทยกะพริบตาอีกที นักการเมืองก็ “วิน-วิน” เหมือนเดิม
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศไทยจึงต้องหันไปตั้งความหวังที่เขมร โดยเฉพาะ “สมเด็จฮุน เซน” แทน ว่าจะเปิดหลักฐานเด็ดอะไรมาอีก จนกลายเป็น “หมัดน็อก” ล้มรัฐบาลชุดนี้ได้ ไม่ว่าจะด้วยม็อบไล่ หรือกฎหมาย (“นิติสงคราม”) ก็ตาม
วันก่อนผมดูวิเคราะห์ข่าวจากรายการข่าวข้นคนข่าว ทางเนชั่นทีวี อธิบายว่า ยุทธศาสตร์กดดันไทยที่ สมเด็จฮุน เซน นำมาใช้ คือ ยุทธศาสตร์เดินสองขา
ขาที่หนึ่ง สร้างความปั่นป่วนให้กับการเมืองภายในของไทย เช่น ปล่อยคลิปเสียง เปิดภาพห้องนอน กระตุ้นให้เกิดม็อบไล่ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เกิดสุญญากาศทางการเมือง เปิดช่องให้กัมพูชาได้เปรียบ
หรืออาจไปไกลถึงขั้นยั่วยุให้เกิดการรัฐประหาร แล้วพาประเทศไทยเข้าไปติดกับดักการเมืองทั้งในและระหว่างประเทศอีกรอบ (ทั่วโลกไม่ยอมรับ)
ขาที่สอง เดินเกมการเมืองนอกประเทศ ลากข้อพิพาทกับไทย (ทั้งๆ ที่สร้างเรื่องขึ้นฝ่ายเดียว) ไปขึ้นศาลโลก
เมื่อไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ก็ยั่วเย้า ปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงขึ้นตามแนวชายแดน พูดง่ายๆ เสียงปืนดังเมื่อไร เข้าทางเขมรเมื่อนั้น นำเรื่องไปฟ้อง “ยูเอ็นเอสซี” หรือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งมีฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมเขมรในอดีต เป็น 1 ใน 5 ชาติสมาชิกถาวร แล้วหวังให้ “ยูเอ็นเอสซี” ออกมาตรการกดดันไทย ลากไทยไปศาลโลกอยู่ดี
“ผู้รู้” ให้ข้อมูลว่า แม้ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก แต่นั่นหมายถึงคดีใหม่ หรือข้อพิพาทใหม่ที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น จึงจะอ้างไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องเดิม หรือต่อเนื่องกับเรื่องเก่า สุดท้ายก็ต้องไปศาลโลกอยู่ดี
ศึกษาไทม์ไลน์ตรงนี้ให้ดีๆ ไทยประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกตั้งแต่ปี พ.ศ.2503 แต่คดีปราสาทพระวิหารก็ยังถูกพิจารณาโดยศาลโลก และตัดสินให้ไทยแพ้ ในปี พ.ศ.2505 (ประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกไปก่อนแล้ว)
จากนั้นไทยก็ยิ่งตอกย้ำว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก ถึงขั้นประกาศออกสื่อ และออกเป็นมติ ครม. แต่หลังปี 2551 ไทยก็ต้องไปขึ้นศาลโลกอีกรอบ เพราะกัมพูชาอ้างว่าเป็นคดีสืบเนื่องจากคดีเดิม คือ ปราสาทพระวิหาร ผลก็คือไทยเสียดินแดนเพิ่มมากขึ้นไปอีก
รอบนี้ยังไม่รู้เขมรจะอ้างอย่างไร แต่จำไว้เถิดว่า “ทรงเดิม” และเป็น “ทรงอย่างแบด” อาจจะอ้างว่าเมื่อปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาแล้ว เส้นเขตแดนจุดอื่นจึงขยับ ตกลงแบบทวิภาคีผ่าน JBC ไม่ได้ จนเกิดความขัดแย้งนำมาสู่การปะทะกัน ฉะนั้นต้องตีความแผนที่จุดอื่นๆ กันใหม่
ที่เล่าให้ฟังนี้ อาจมองดูเป็นจินตนาการ แต่ก็อย่าเพิ่งมองข้าม เพราะตอนที่เราเสียปราสาทพระวิหาร ก็ไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริงเหมือนกัน เนื่องจากทางขึ้นอยู่ฝั่งไทยชัดเจน
ปีนี้ผมอายุ 53 ปี ผมเกิดหลังไทยเสียปราสาทพระวิหาร 10 ปี ได้ยินความเจ็บช้ำมาซ้ำๆ จากคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ความมั่นใจว่าทางขึ้นอยู่ฝั่งไทย แล้วมันจะเสียไปได้อย่างไร ผมยังจำได้แม่น พูดง่ายๆ ก็คือถูกเขาปล้น ถูกเขาโกงเอาไป แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้
ผ่านมาไม่ถึง 50 ปี เราโดนลากไปขึ้นศาลโลกอีกครั้ง เสียดินแดนเพิ่ม ผ่านมาอีกสิบกว่าปี กำลังจะเกิดเรื่องเดิมซ้ำรอยอีกแล้ว
ย้อนกลับไปที่ “ยุทธศาสตร์สองขา” ผมก็เชื่อว่าเขมรเดินยุทธศาสตร์นี้ แต่ความหมายของ “สองขา” ที่ว่านี้ ไม่ใช่ “ขาหนึ่ง” ป่วนการเมืองภายในของไทย และ “อีกขาหนึ่ง” เป็นการเดินเกมระหว่างประเทศ หรือ “ศึกนอกประเทศไทย”
แต่ผมคิดว่า “ยุทธศาสตร์สองขา” ของกัมพูชา มุ่งที่ “การเมืองภายใน” ของไทยเท่านั้น ส่วนเกมฟ้องศาลโลก เป็นแค่ “ผลพลอยได้”
กล่าวคือ สมเด็จฮุนเซนเปิดหลักฐานดิสเครดิตนายกฯแพทองธาร และตระกูลชินวัตร เพื่อให้การเมืองภายในของไทยปั่นป่วน เป้าหมายนี้ชัดเจน
แต่ประเด็นที่คนยังไม่ค่อยพูดถึงกันก็คือ จริงๆ ความต้องการที่แท้จริงของ สมเด็จฮุน เซน อาจจะเป็นการแบล็กเมล์ “คนตระกูลชินวัตร” ก็ได้ เพราะหลักฐานที่เปิดออกมา พุ่งเป้าไปที่ “ชินวัตร” เท่านั้น และปัจจุบันนายกฯ ก็นามสกุลชินวัตร พ่อนายกฯซึ่งมีบารมีเหนือพรรคเพื่อไทยก็นามสกุลเดียวกัน
ถ้าผู้มีอำนาจซึ่งนามสกุลชินวัตร ไม่อยากถูกเปิดหลักฐานมากกว่านี้ ก็น่าจะต้องยอมทำบางอย่างตามที่เขมรต้องการ ถ้าไม่ทำ ก็จะโดนเปิดหลักฐานให้คนคลางแคลงใจเพิ่มขึ้น เติมเชื้อไฟทางการเมืองให้รัฐบาลอยู่ต่อไปได้ยาก
อย่าลืมว่า นายกฯแพทองธาร คุยกับ “อังเคิลฮุน” ว่าอย่างไร ขอร้องให้ช่วยแก้ปัญหาการเมืองภายในที่ตัวเองกำลังเผชิญใช่หรือไม่
คำว่า “ช่วยหลานหน่อย” ยังคงก้องเต็มสองหูคนไทย
นี่อาจจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของสองพ่อลูกตระกูลฮุน โดยไม่ต้องไปลุ้นขึ้นศาลโลกให้เหนื่อย!
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์