'อิ๊ง' เผชิญวิกฤติศรัทธา เก้าอี้นายกฯอยู่บนเส้นด้าย

ใครจะคิดว่า “คลิปเสียง” สนทนาระหว่าง “นายกฯอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย กับ ฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานวุฒิสภา กัมพูชา จะสร้างผลสะเทือนต่อประเทศไทยได้มากกมายขนาดนี้
ประการสำคัญ ในคลิปเสียงที่เผยแพร่ไปทั่วโลกนั้น มันทิ่มแทงความรู้สึกคนไทยอย่างร้ายแรง ที่นายกรัฐมนตรี พูดคุยในทำนองโอนอ่อนผ่อนตามฮุนเซน ท่ามกลางกรณีพิพาทชายแดน ซึ่งตอนหนึ่งพูดว่า “อยากได้อะไรขอให้บอก จะจัดการให้”
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อรู้ว่า ฮุนเซน ไม่พอใจแม่ทัพภาคที่ 2 ยังกล่าวพาดพิง “แม่ทัพภาคที่ 2” ว่าเป็นคนของฝ่ายตรงข้ามกับเรา รวมทั้งด้อยค่า การแสดงออกถึงความรักและหวงแหนแผ่นดินไทยของแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า ชอบทำเท่ไปอย่างนั้น
ทั้งสองประเด็น ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะถูกแปลเจตนาว่า พร้อมทำตามความต้องการของฮุนเซนทุกอย่าง และผลักแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่ง เป็นคนของกองทัพ ไปอยู่ฝ่ายตรงข้าม นั่นหมายถึงอะไร? นายกฯอยู่ฝ่ายไหนกันแน่? เพราะคนไทยเห็นด้วยกับการทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของแม่ทัพภาคที่ 2 อย่างจริงจัง เด็ดขาด
ดูเหมือนสองประเด็นนี้ สำหรับคนไทย ไม่ว่า“นายกฯอิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร จะชี้แจง อธิบายอย่างไร หรือขอโทษขออภัยอย่างไร มันก็ไม่อาจลบล้างได้ เพราะคำพูดที่ชัดถ้อยชัดคำ มันจึงส่อเจตนาของการสื่อสารด้วย
ไม่แปลกที่ จาก “คลิปเสียง” ดังกล่าว ทำให้พรรคภูมิใจไทย นำโดย “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล เห็นช่อง ฉวยวิกฤติเป็นโอกาสทันควัน ออกแถลงการณ์ “ถอนตัว” จากรัฐบาล รัฐมนตรี และประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สองลาออก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคภูมิใจไทย ถูกบีบจากท่าทีของ ทักษิณ ชินวัตร และ “นายกฯอิ๊งค์” น.ส.แพทองธารล่าสุด ในการที่จะยึดกระทรวงมหาดไทย กลับมาเป็นของพรรคเพื่อไทย
นั่นหมายความว่า การถอนตัวจากรัฐบาลของภูมิใจไทยนำมาสู่ที่นั่งส.ส.ในสภาฯของฝ่ายรัฐบาล จาก 322 เหลือเพียง 253 เสียงทันทีเช่นกัน ซึ่งเกินครึ่งแค่ 3 เสียง ปริ่มน้ำแค่ไหน ก็ลองคิดดู
ที่น่าสนใจ ในจำนวนนั้น ไม่ใช่ของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด หากแต่เป็นของ รวมไทยสร้างชาติ 36 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์ 25 ที่นั่ง กล้าธรรม 24 ที่นั่ง และพรรคเล็ก ซึ่งบางพรรค ก็กำลังถูกกดดันให้ถอนตัวจากรัฐบาล เพราะคลิปหลุดด้วย
นี่คือ เงื่อนไขสำคัญประการแรก ที่ รัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร จะต้องใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ จะไปต่อหรือไม่ อย่างไร?
จากวิกฤติตัวเลขส.ส.ในสภาฯ หันมาดูนอกสภาฯกันบ้าง ปรากฏว่า กระแสความเชื่อมั่น และศรัทธา ถูกทำลายไปอย่างย่อยยับ โดยเฉพาะในโลกโซเชียล มีสองกระแสที่เบียดแย่งอันดับ 1 กันอยู่ คือ กระแสด่านายกฯ กับ กระแสเชียร์แม่ทัพภาคที่ 2
ท่วงทำนองที่เคลื่อนไหวกันมากในโลกโซเชียลก็คือ ถ้านายกฯอยู่คนละฝ่ายกับแม่ทัพภาคที่ 2 และกองทัพ(ตามคลิป) ก็เท่ากับเป็นคนละฝ่ายกับคนไทย ฟังดูเจ็บปวดไม่น้อย สำหรับนายกฯอิ๊งค์ เพราะนั่นหมายถึงความเชื่อมั่น-ศรัทธา และคะแนนนิยม อย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งกว่านั้น การเคลื่อนไหวกดดันจากกลุ่มเคลื่อนไหว ซึ่งก่อนหน้านี้ แทบไม่มีประเด็นที่จะจุดกระแสร้อนแรงขึ้นมาได้ แต่พอมีคลิปหลุด “นายกฯอิ๊งค์” การเคลื่อนไหวชุมนุมบริเวณทำเนียบรัฐบาลเพื่อกดดันให้ลาออก ก็เริ่มเป็นไปตามธรรมชาติมากขึ้น เพราะมีประเด็นและเงื่อนไขสุกงอมเพียงพอ คนที่เดินออกจากบ้านมาร่วมชุมนุม มาด้วยใจที่รักประเทศไทย หวงแหนแผ่นดิน ไม่เชื่อว่ารัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์” จะรักษาเอาไว้ได้
ด้วยสัญญาณนี้เอง นักเคลื่อนไหวแถวหน้า “เสือปืนไว” อย่าง “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ และพวกพ้อง จึงไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดลอยไป
“วันที่ 28 มิถุนายนนี้ ขอประชาชนมารวมพลังปกป้องแผ่นดิน และแสดงจุดยืนให้นายกฯ เห็น ซึ่งจะทำให้ได้คิดอะไรได้ง่ายขึ้นกับการประกาศลาออก”
“จตุพร” ทิ้งท้ายผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน เมื่อ 20 มิถุนายน 2568 หลังประกาศนัดชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิตั้งแต่ 16.00 น ถึง 21.00 น. ของวันที่ 28 มิถุนายน
“ไทยมีประชากร 67 ล้านคนมากกว่ากัมพูชาที่มีเพียง 16-17 ล้านคน แต่เขาใช้กลไกรัฐระดมพลมาชุมนุมได้ถึง 1.5 แสนคน ดังนั้น ขอคนไทยนำความเป็นชาติมาแสดงพลังแผ่นดิน และอย่าได้ทำให้อับอายขายหน้าคนกัมพูชา” จตุพร ปลุกคนมาร่วมชุมนุม
นอกจากนี้ “จตุพร” ระบุถึงคลิป “นายกฯอิ๊งค์” สนทนากับ ฮุนเซน ว่า นายกฯพยายามอธิบายแก้ตัวว่า ความผิดอยู่ที่การบันทึกเสียงและคนปล่อยคลิปเสียง แต่ความผิดแรกที่ฉกาจฉกรรจ์ คือนายกฯพูดอย่างนั้นได้อย่างไร ว่า อยากได้อะไรบอกมาเลยเดี๋ยวจัดการให้ ซึ่งทำให้ประชาชนตื่นตัวไม่พอใจด้วยตัวเลขสูงมากเมื่อวัดผ่านโซเชียลของรายการสดแสดงความเห็นของสถานีโทรทัศน์ต่างๆ เพราะประชาชนตระหนักในสิ่งที่ชาติบ้านเมืองกำลังประสบอยู่
“จตุพร” ชี้อีกว่า การอธิบายของนายกฯอุ๊งอิ๊งทุกข้อ ทั้งอ้างเทคนิคการพูดคุยล้วนใช้ไม่ได้และอ้างไม่ขึ้น แต่ถ้าการเลือกแม่ทัพไปรบ ไปทำหน้าที่แล้วสร้างความไม่สบายใจให้ประเทศคู่พิพาทได้ ถือว่าแม่ทัพคนนั้นใช้ได้
สิ่งสำคัญ เมื่อประเทศคู่พิพาทโกรธแม่ทัพ แต่นายกฯ กลับพูดเหมือนจะตัดคอแม่ทัพตัวเองไปเป็นเครื่องบรรณาการเพื่อให้หายโกรธนั้น ตำราแบบนี้ใช้ไม่ได้ อีกอย่างถ้าไม่มีคลิปหลุดออกมา นายกฯ คงไม่ไปเหยียบพื้นที่ชายแดนช่องบก เพราะตั้งแต่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา ทหารสองฝ่ายปะทะกันยังไม่ไปพื้นที่พิพาทเลย แต่วันนี้มีคลิปหลุดจึงต้องไปและมอบทุกอย่างที่เป็นความต้องการให้กองทัพได้อย่างง่ายดาย ขณะที่ตอนนี้ทักษิณ เงียบมาก ทั้งที่คบกับกับฮุนเซนมาถึง 30 ปี
“เสียงนายกฯ พูดกับฮุนเซนนั้น การสนทนาจะเป็นการเอื้อกันด้วยผลประโยชน์ระหว่างหลานกับอาเสียมากกว่า เช่น อยากได้อะไรบอกมา หรือการพูดถึงแม่ทัพภาค 2 เป็นคนฝ่ายตรงข้าม แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ มีเรื่องอะไรที่มากกว่านี้หรือไม่ ที่เป็นความต้องการของคู่สนทนา”
นอกจากนี้ ยังมีความคิดเห็นที่น่าสนใจจาก พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ(ศรภ.) กล่าวถึงคลิปหลุดและกระแสที่ทำให้คนไทยตื่นตัวขึ้นมา
โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก(21 มิ.ย.68)ว่า ทำไมพวกเราคนไทย ถึงต้องออกมาเชิญ นายกฯ ออกจากตำแหน่ง มันมีเหตุผลมากมาย แต่เอาสัก 3 เรื่องก็น่าจะพอ
เรื่องแรก : นายกฯทำผิดทั้งกฎหมายอาญา จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และ กฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งประชาชนทั้งในประเทศไทย และ ประชาชนเกือบทั่วโลก ทราบกันดีอยู่แล้ว แม้พวกนายกฯ จะพยายามมาแก้ตัวให้นายกฯว่า “ขาดเจตนา” ก็ไม่ได้หรอกครับ
คนที่อยู่ในตำแหน่งนายกฯ นั้น ต้องรอบคอบ มีวุฒิภาวะ เพราะเจตนา ไม่ได้หมายความไปถึง การตั้งใจทำอย่างเดียว แต่ยังหมายความถึง “การเล็งเห็นผลของการกระทำด้วย” ซึ่งคนที่เป็นนายกฯ ทั้งโลกจำเป็น ต้องทราบเรื่องนี้ดี
เรื่องที่สอง : ถ้อยคำสนทนา ระหว่างนายกฯ กับ ฮุนเซน ในคลิป บ่งบอกนัยยะในทางที่ไม่ดีต่อประเทศไทย 3 ประการ คือ
(1) นายกฯเห็นฮุนเซน ดีกว่า ประเทศไทย
(2) นายกไม่ได้รักษาความลับทางราชการ ทั้งที่นายกฯ ได้รับการอนุมัติให้เข้าถึงความลับชั้น“ลับที่สุด”
และ (3) นายกฯ พร้อมที่จะเสนอผลประโยชน์ของประเทศชาติให้กับ ฮุนเซน โดยการสนทนาที่ย้ำหลายครั้งว่า “ถ้าท่านอยากได้อะไร ให้บอกมาได้เลย เดี๋ยวจะจัดการให้ “หรือ” ตกลงกันได้ “หรือ” เอาอะไรบอกอิ๊งค์ได้เลย ยกหูบอกก็ได้”
เรื่องที่สาม : ครอบครัวนายกฯไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบการกระทำ ของ ฮุนเซน อย่างชัดเจน ทั้งที่ ฮุนเซน กระทำการเผยแพร่คลิปครั้งนี้ ผิดกฎหมายทั้งของกัมพูชา และ ของไทย และยังผิดแบบทำเนียบทางการทูตอย่างร้ายแรง รวมถึง ดูหมิ่นนายกฯของคนไทยทั้งประเทศ โดยตรง ซึ่งมันบ่งบอกว่าทางครอบครัวนายกฯ ยังเกรงใจ ฮุนเซนอยู่ ดังนั้น นอกจาก นายกฯ ไม่สมควรเป็นนายกฯ อีกต่อไปแล้ว พรรคเพื่อไทยก็ไม่สมควรเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอีกด้วย เพราะ มันเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศไทย อยู่ในระดับรหัส “สีแดง” ทีเดียว
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกระแสกดดันมากมาย แต่ดูเหมือนท่าทีที่แสดงออกของ “นายกฯอิ๊งค์” และพลพรรคเพื่อไทย ยังพร้อมที่จะเดินหน้าต่อด้วยตัวเลขที่นั่งส.ส.ที่ “ปริ่มน้ำ” รวมทั้งกระแสคนไทยส่วนใหญ่ขาดความเชื่อมั่น-ศรัทธาในตัวนายกฯอย่างมาก
ความเห็นของ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็นับว่าน่าสนใจ
โดยเขาโพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล(21 มิ.ย.68) ระบุว่า
“สถานการณ์การเมือง ณ เวลานี้ น่าจะชัดเจนแล้วว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ไม่ลาออก ไม่ยุบสภา แต่จะลาก “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” ไปต่อ
ประเทศไทยจะได้หรือจะเห็นอะไรต่อจากนี้
1. การเอาอกเอาใจกองทัพ การให้กองทัพมีอำนาจเหนือรัฐบาล มากยิ่งขึ้น
2. การเอาอกเอาใจพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ผ่าน 8 เก้าอี้ รัฐมนตรีที่ว่างอยู่
3. การแย่ง ต่อรอง ตำแหน่ง ของนักการเมือง การดึง การดูด เอาเก้าอี้ รมต. ผลประโยชน์มาหลอกล่อ ส.ส. ของพรรคอื่นๆ ให้แตกแถว เพื่อรักษาเสถียรภาพรัฐบาล
4. นิติสงคราม เพื่อจัดการนายกรัฐมนตรี
5. พรรคการเมืองและรัฐบาล แสดงออกแบบขวาจัดมากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาใบอนุญาตที่ 2
สภาพการเมืองและรัฐบาลแบบนี้ ไม่มีทางแก้ไขปัญหาประเทศชาติ นำพาประเทศชาติไปได้ ไม่มีทางสร้างความเชื่อมั่นและความหวังให้กับประชาชนได้
2 ทศวรรษแล้ว ที่ประเทศไทยของเราต้องเสียเวลา โอกาส ทรัพยากร ไปกับการแก้ไขปัญหาของคนไม่กี่ครอบครัว
เมื่อ “รัฐ” ที่เป็นของประชาชน เป็นของส่วนรวม ถูกทำให้กลายเป็นสมบัติของตัว ของตระกูล เอามาแก้ไขปัญหาเรื่องของตัว ของตระกูล
“ประชาชน” ก็ถูกทำให้เป็น “ผู้อาศัย” ต้องรับภาระ รับผลร้าย จากการละเล่นของพวกเขา”
เหนืออื่นใด ต่อให้ “นายกฯอิ๊งค์” จะไม่ลาออก ไม่ยุบสภาฯ และเดินหน้าเป็นรัฐบาลต่อไป แต่จากการมีผู้ร้องเอาผิดตามกฎหมาย รวมทั้งกระแสกดดันจาก “ม็อบ” ถ้ามีพลังอย่างสูง ก็ไม่แน่ว่า จะยังรักษา “เก้าอี้นายกฯ” เอาไว้ได้ และไม่ต่างกับแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั่นเอง