ชั้น 14 กับดัชนีชี้วัด ‘รัฐล้มเหลว’

ชั้น 14 กับดัชนีชี้วัด ‘รัฐล้มเหลว’

สัญญาณการนับถอยหลังของรัฐบาลชุดนี้ ดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ หลายคนมองไปถึงการรัฐประหาร ยึดอำนาจ แต่แหล่งข่าวระดับสูงในหน่วยงานความมั่นคงยืนยันว่า ไม่มีความเคลื่ือนไหวของกองทัพที่จะปฏิวัติ แต่มีแนวโน้มที่การเมืองจะถึงจุดเปลี่ยนด้วยกระบวนการทางการเมืองเอง

KEY

POINTS

  • หลายคนคาดการณ์อนาคตของรัฐบาลเอาไว้ว่า จะเผชิญศึกใหญ่ช่วงเดือน มิ.ย.ถึง ก.ค. และน่าจะมีจุดเปลี่ยนช่วงกลางเดือน ก.ค.เป็นต้นไป
  • สัญญาณการนับถอยหลังของรัฐบาลชุดนี้ ดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ หลายคนมองไปถึงการรัฐประหาร ยึดอำนาจ แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวของกองทัพ มีแนวโน้มที่การเมืองจะถึงจุดเปลี่ยนด้วยกระบวนการทางการเมืองเอง 
  • กูรูการเมืองบางคนชี้ว่า นี่คือการรัฐประหารแบบไม่ต้องใช้รถถัง นำไปสู่การ“เซ็ตซีโร่” และหาช่องทางสร้างกติกาการเมืองใหม่ต่อไป

หลังวัน “นัดพร้อม” ศุกร์ที่ 13 มิ.ย. ที่มีการไต่สวนกรณี “ชั้น 14” หรือเรียกเต็มๆ ว่า บังคับโทษคุณทักษิณแล้วหรือยัง โดยองค์คณะของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

“เนชั่นทีวี” ตรวจสอบความเห็นไปยังบุคคลในกระบวนการยุติธรรม ทั้งศาล อัยการ ตำรวจ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่า งานนี้อดีตนายกฯ อาการหนัก

ส่วนนักวิเคราะห์การเมืองชื่อดัง และอดีตคนทำงานความมั่นคงอย่าง “เสธ.แมว” พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการ สมช. ถอดรหัสคำสั่งองค์คณะไต่สวน ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เอาไว้อย่างน่าสนใจ หลังสั่งไต่สวนพยานเพิ่มอีกถึง 20 ปาก

 - สั่งแบบนี้ เหมือนเขียนคำตอบไว้ล่วงหน้า แทบไม่ต้องเดาเลย

 - เส้นทางคดีของอดีตนายกฯทักษิณ ต้องบอกว่า “นับถอยหลัง” ได้แล้ว

 - จุดประสงค์ที่องค์คณะไต่สวนฯ ดำเนินการคือ ทำให้ศาล และให้สังคม “สิ้นสงสัย” จากกรณีนี้

 - จริงๆ องค์คณะฯ จะมีคำสั่งวันนี้เลยก็ได้ เนื่องจากทราบอยู่แล้วว่า อดีตนายกฯทักษิณจะชี้แจงว่าอย่างไร แต่ได้เรียกไต่สวนพยานทุกฝ่าย เพื่อให้โอกาส และตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ความจริงปรากฏต่อสังคมทุกด้าน และฝ่ายที่กระทำผิดพลาด บกพร่อง ละเมิดกฎหมาย จะไม่สามารถพลิ้วได้อีก

 - เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะโดนดำเนินคดีทั้งวินัย และอาญา โดยจะไม่จำกัดวงเฉพาะแพทย์ 3 คนที่ “แพทยสภา” ลงมติไปแล้ว แต่จะลุกลามไปถึงเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ รวมๆ แล้วก็คือประมาณ 10-20 คน

 - เดือน ก.ค.จะเป็นเดือนที่เห็นหน้าเห็นหลัง เพราะคดี 112 ก็นัดสืบพยานเช่นกัน อยู่ที่อดีตนายกฯ ว่าจะตัดสินใจอย่างไร

 - หากมองโยงสถานการณ์การเมืองขณะนี้ “คนเขียนบท” พิจารณาแล้วว่า รัฐบาลชุดนี้ไปต่อไม่ได้ จึงบีบเส้นทางลงเรื่อยๆ จนไม่มีทางเดินต่อไป และจะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี รวมถึงเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในเร็ววันนี้

จากมุมวิเคราะห์ของ “เสธ.แมว” จะพบว่าสอดคล้องกับแหล่งข่าวระดับสูงจาก “ศูนย์ประสานข่าวกรองฯ” ที่ผมได้พูดคุยด้วย นั่นก็คือ กระแสม็อบจุดติดแล้ว แต่จะไม่มีชุมนุมใหญ่

โดยคำว่า “ม็อบจุดติด” หมายถึงมีมวลชนจำนวนมากไม่พอใจรัฐบาล และพร้อมออกมาชุมนุม แต่เงื่อนไขการชุมนุมใหญ่มีเรื่องเดียวคือ“ปัญหากัมพูชา” เพราะเป็นประเด็นที่ “ทุกฝ่าย-ทุกสี” ก้าวข้ามความต่าง และเห็นตรงกันหมด พร้อมออกมาแสดงพลัง

ส่วนปัญหาการเมืองของรัฐบาล ทั้งความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลเอง การผลักดันนโยบายที่สวนความรู้สึกประชาชน หรือแม้แต่ท่าที การแสดงออก และความรู้ความสามารถของนายกฯแพทองธาร ต่อปัญหาต่างๆ ของบ้านเมือง รวมถึงคดีความของอดีตนายกฯทักษิณ ประเด็นเหล่านี้จะไม่นำไปสู่การชุมนุมใหญ่แบบยืดเยื้อ เพราะกระบวนการยังไม่ถึงทางตัน แต่ยังเดินหน้าไปในทิศทางที่สังคมคาดหวังได้

“กูรูการเมือง” หลายคนก็เคยคาดการณ์อนาคตของรัฐบาลเอาไว้ว่า จะเผชิญศึกใหญ่ช่วงเดือน มิ.ย.ถึง ก.ค. และน่าจะมีจุดเปลี่ยนช่วงกลางเดือน ก.ค.เป็นต้นไป

ผมเคยคุยกับอดีตคนการเมืองรุ่นลายครามที่เคยเป็นทั้ง สว. สส. สนช. และเคยทำพรรคการเมือง เคยร่วมงานกับอดีตนายกฯทักษิณด้วย ก็ประเมินลักษณะนี้มาแล้ว

ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจก็คือ จู่ๆ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์​ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม อดีตผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ ก็ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กเรื่่อง “รัฐล้มเหลว” หรือ Fialed State พร้อมตั้งคำถามว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ความเป็น “รัฐล้มเหลว” แล้วหรือไม่

โดย ดร.กิตติพงษ์ ชำแหละสัญญาณของ “รัฐล้มเหลว” ข้อแรกเลยก็คือ “กฎหมายไม่ใช่เครื่องมือเพื่อความยุติธรรม แต่กลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ”

หลายคนอ่านแล้ว บอกว่า ช่างสอดรับกับสถานการณ์ช่วงนี้จริงๆ

เป็นที่น่าสังเกตว่า ดร.กิตติพงษ์ เคยมีบทบาทแก้ไขปัญหาความขัดแย้งสำคัญๆ ในประเทศไทยหลายครั้ง ทั้งปัญหาไฟใต้ ผ่านคณะกรรมการ กอส. หรือ คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ และปัญหาการเมือง หลังการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 ผ่านคณะกรรมการ คอป. หรือ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ

รวมถึงเคยมีบทบาทสำคัญในคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ และยังเป็นคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 อีกด้วย

ทุกครั้งที่มีวิกฤตการณ์ทางการเมือง มักมีชื่อ ดร.กิตติพงษ์ หรือ “ปลัดกิตติพงษ์” เป็นแคนดิเดต “นายกฯคนกลาง”

การปรากฏความเคลื่อนไหว โพสต์ข้อความยาวๆ เรื่อง “รัฐล้มเหลว” จึงเป็นสัญญาณที่มองข้ามไม่ได้โดยเด็ดขาด

และสัญญาณการนับถอยหลังของรัฐบาลชุดนี้ ดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ หลายคนมองไปถึงการรัฐประหาร ยึดอำนาจ แต่แหล่งข่าวระดับสูงในหน่วยงานความมั่นคงยืนยันว่า ไม่มีความเคลื่ือนไหวของกองทัพที่จะปฏิวัติ แต่มีแนวโน้มที่การเมืองจะถึงจุดเปลี่ยนด้วยกระบวนการทางการเมืองเอง เช่น

 - การเปลี่ยนตัวนายกฯ จากกระบวนการทางกฎหมาย หรือ “นิติสงคราม”

 - การเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ จากความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล และการจับขั้วการเมืองใหม่ในสภาฯ หากพรรคภูมิใจไทยและรวมไทยสร้างชาติ ถูกปรับ ครม.โดยไม่ยินยอมพร้อมใจ อาจมีการจับมือตั้งขั้วรัฐบาลใหม่ขึ้นมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

 - การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลแบบ “ล้มกระดาน” ผ่านคำร้องว่ารัฐบาล และสมาชิกรัฐสภากระทำการขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144

เรื่องนี้มีคนไปร้องเอาไว้กับ ป.ป.ช. (คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ และพวก) โดยเมื่อไม่กี่วันมานี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.รับไต่สวนแล้ว เป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรี สส. และ สว. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 68 ที่มีการโยกงบไปทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (แจกเงินหมื่น) ส่อขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 144

ที่ว่า... ห้ามกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการมีส่วน ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย

เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็น “เกมเร็ว” กว่านิติสงครามสมรภูมิอื่น เพราะมีกรอบเวลาให้ ป.ป.ช.ไต่สวน จากนั้นต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยภายใน 15 วัน เพราะถือเป็นกรณีเร่งด่วน

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าผิด ครม.ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ตามมาตรา 167(4) และจะไม่สามารถรักษาการหรือปฏิบัติหน้าที่ต่อเพื่อรอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้ ต้องให้ปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวงปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐมนตรี และเลือกปลัดคนหนึ่งทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 168

หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ก็เท่ากับเป็นการ “ล้มกระดาน - ล้างไพ่การเมืองใหม่หมด” เพราะจะจบทุกปัญหา ทั้ง…

 - รัฐบาลที่ประชาชนมองว่าแก้ปัญหาอะไรไม่สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันเลย

 - รัฐบาลที่มีปัญหาความมั่นคงชายแดน ประชาชนไม่ค่อยไว้วางใจ

 - รัฐบาลที่มีปัญหาขัดแย้งภายใน ผลักดันนโยบายอะไรก็ไม่ได้

 - สภาฯ ที่เต็มไปด้วยงูเห่า การซื้อ สส. ใช้เงินแลกโหวต

 - สว.ที่มีปัญหากระบวนการได้มา ถูกกล่าวหาว่ามาจาก “โพยฮั้ว”

กูรูการเมืองบางคนชี้ว่า นี่คือการรัฐประหารแบบไม่ต้องใช้รถถัง นำไปสู่การ“เซ็ตซีโร่” และหาช่องทางสร้างกติกาการเมืองใหม่ต่อไป

หลายคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวการเมืองไทยมามาก ไม่ได้อยากให้เกิดพล็อตเรื่องแบบนี้ แต่เหมือนบางคน บางพรรคก็ “ทำตัวเอง” ทำให้ประเมินได้ว่า พล็อตเรื่องคล้ายๆ กันนี้จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก!