โฟกัสไต่สวนคดีชั้น 14 ความยุติธรรมจบที่ศาล

แค่นัดแรกของการไต่สวนคดี “ทักษิณ ชินวัตร” รักษาตัวบนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเลี่ยงติดคุกในเรือนจำ หรือ “คดีชั้น 14” ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ทำเอาหลายฝ่ายได้ลุ้นผลสุดท้ายจะจบลงอย่างไร
หลังจากคดีชั้น 14 มีความเคลือบแคลงสงสัยว่า มีการจัดฉาก เอื้อ “ทักษิณ” ให้ไปรับโทษอยู่บนชั้น 14 รพ.ตำรวจ แทนที่จะเป็นในเรือนจำเหมือนนักโทษทั่วไป อันเป็นการใช้ “อภิสิทธิ์” เหนือคนอื่น ในฐานะผู้มีบารมีทางการเมืองหรือไม่
ความจริงเรื่องนี้ ฝ่ายต่อต้าน “ทักษิณ” มีความพยายามยื่นคำร้องเอาผิดไปหลายองค์กร ไม่ว่า ศาลรัฐธรรมนูญ คดีล้มล้างการปกครอง ต่อมาศาลฯมีมติเอกฉันท์ให้ยกคำร้อง ด้วยเหตุผล ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอ และยังห่างไกลเกินกว่าเหตุที่แสดงให้เห็นได้ว่า ผู้ถูกร้อง (รมว.ยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ) ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเอื้อ “ทักษิณ” เพื่อล้มล้างการปกครองฯตามรัฐธรรมนูญ ม.49 วรรคหนึ่ง
รวมทั้งร้องต่อ “ป.ป.ช.” เพื่อเอาผิดข้าราชการที่เกี่ยวข้อง 12 คน ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างไต่สวนข้อเท็จจริง
แม้กระทั่ง กรณี ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลฯก็มีมติยกคำร้อง แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฯแล้ว จึงมีคำสั่งไต่สวนคดีนี้เอง และนำมาสู่การไต่สวนคดีนัดแรกวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา
ที่น่าสนใจ ศาลฯได้ออกหมายเรียก นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ขึ้นไต่สวนเป็นพยานปากแรก
ประเด็นสำคัญ นายมานพ เบิกความโดยปฏิเสธต่อศาล ไม่ทราบประวัติการรักษาตัวจากต่างประเทศนายทักษิณยังอยู่ในเรือนจำหรือไม่ เนื่องจากรับตำแหน่งหลังวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 ที่นายทักษิณรับโทษไปแล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้นผู้บัญชาการเรือนจำ คือ นายนัสที ทองปลาด และนายปราโมทย์ ทองศรี แต่เบิกความการทำหน้าที่ผู้บัญชาการเรือนจำ ศาลมีดำริเรียกผู้บัญชาการเรือนจำในการปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 มาให้การต่อศาลด้วย
นายมานพ ชี้แจง ตามเอกสารที่มีว่า ในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 หลังกรมราชทัณฑ์นำตัวนายทักษิณไปยังเรือนจำ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ ได้ตรวจร่างกายนายทักษิณตามแรกเข้า พิมพ์ลายนิ้วมือ ตามขั้นตอนโดยอยู่ในเกณฑ์ผู้ต้องขัง 608 และในคืนดังกล่าว จากที่นายทักษิณได้แจ้งว่า มีความดันโลหิต ค่าออกซิเจนต่ำกว่าปกติ มีอาการแน่นหน้าอก มีพยาบาลที่เข้าเวรเรือนจำเพียงคนเดียวต่อผู้ต้องขัง 4 พันคน โดยไม่มีแพทย์ประจำ แต่พยาบาลเป็นผู้โทรไปประสาน นพ.ณัฐพร แพทย์ประจำโรงพยาบาลราชทัณฑ์ จากนั้นจึงเป็นผู้มีความเห็นส่งตัวไปรักษากับโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่มีการส่งตัวไปยังโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อนตามขั้นตอนปกติ
นอกจากนี้ นายมานพ ให้การว่า การส่งตัวนายทักษิณไปรักษานั้น ใช้อำนาจตามมาตรา 55 ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 และยอมรับว่า มีการเขียนใบส่งตัวไว้ล่วงหน้า เป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนปกติ ที่ผ่านมาการส่งตัวผู้ป่วยทุกกรณีเมื่อส่งออกจากเรือนจำก็ต้องส่งไปยังโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน เพราะมีรั้วติดกัน ก่อนที่จะมีการวินิจฉัยส่งตัวไปยังที่อื่น แต่กรณีนายทักษิณยอมรับว่าไม่ได้ส่งตัวไปรพ.ราชทัณฑ์ ก่อนส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจ
ต่อมา นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ได้แถลงขออนุญาตซักถามพยานเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง 10 คำถาม โดยศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตให้บางคำถาม โดยแจ้งคำถามต่อศาล เนื่องจากบางคำถามศาลเตรียมที่จะเรียกพยานเข้ามาไต่สวนอยู่แล้ว โดยคำถามของนายวิญญัติเป็นการถามค้านศาลจากที่นายมานพได้เบิกความไว้ ภายหลังสอบถามเสร็จสิ้น นายวิญญัติ ได้ขอนำพยานบุคคลเข้าให้ศาลไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง โดยศาลพิจารณาแล้วให้นายวิญญัติทำคำร้องเป็นเอกสารเข้ามาให้ศาลพิจารณาต่อไป
สำหรับกระบวนการพิจารณาคดี ศาลเห็นว่าจำเป็นต้องไต่สวนพยาน 20 ปากเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง โดยกลุ่มแรก ที่เรียกไต่สวนในวันที่ 4 กรกฎาคม เป็นกลุ่มแพทย์ที่เกี่ยวข้อง อย่าง พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ นพ.ณัฐพร และต่อมาวันที่ 8 กรกฎาคม เป็นเจ้าหน้าที่พัศดี และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ สัญญา วงศ์หินกอง พัศดีเวรประจำเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ส่วนวันที่ 15 กรกฎาคม เป็นผู้บริหารรพ.ราชทัณฑ์ และผู้บริหารเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ในจำนวนนี้มีนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนปัจจุบัน นายนัสที ทองปลาด อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ นายปราโมทย์ ทองศรี อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และศาลได้นัดอีกครั้งในวันที่ 18, 25, 30 กรกฎาคม เวลา 09.00 น.ทุกนัด
นอกจากนี้ ศาลยังให้ ป.ป.ช.ส่งรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(ก.ส.ม.)ว่าด้วยเรื่องมติที่ประชุมแพทยสภา ใบเบิกค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่เข้าเวรควบคุมตัวนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจ รวมถึงประวัติการรักษาตัวจากต่างประเทศของทักษิณ ที่ราชทัณฑ์ระบุว่า มีอยู่แต่ยังหาไม่พบ ให้ส่งกลับมายังศาลภายใน 15 วัน
ส่วนความเห็นที่น่าสนใจ “เชาว์ มีขวด” ทนายความ และอดีตโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก(13 มิ.ย.68)เรื่อง “คุก” รอ “ทักษิณ” อยู่
โดยสาระสำคัญ ระบุว่า วันนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนคดีหมายเลขดำ บค.1/2568 ว่าด้วย การบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร หลังได้รับคำชี้แจงจาก อัยการสูงสุด, ป.ป.ช., ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ขณะเดียวกันก็อนุญาตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ จำเลยคือนายทักษิณ ขยายเวลายื่นคำชี้แจงถึง 20 และ 23 มิ.ย. ตามลำดับ
สิ่งที่ศาลทำถัดจากนี้ คือการ เรียกพยาน 20 ปากมาไต่สวนในวันที่ 4, 8 และ 15 ก.ค. 2568 ซึ่งมีนัยสำคัญมาก เพราะก่อนศาลจะออกคำสั่งระดับนี้ต้อง “เห็นแล้วว่าคดีมีมูล” และ มีประเด็นต้องพิจารณาว่า การบังคับโทษก่อนหน้านี้ อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย
“ผมคิดว่า การพิจารณานี้ ไม่ได้เกิดจากเสียงการเมืองหรือแรงกดดันสาธารณะ แต่มาจาก “ข้อเท็จจริง” จากคำชี้แจงของอัยการสูงสุด ป.ป.ช. ผบ.เรือนจำกรุงเทพฯ และนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ และมั่นใจว่าการที่ศาลมีคำสั่งอย่างนี้ ชี้ให้เห็นได้ว่าคดีมีมูลเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณไม่ได้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแน่ๆ
เมื่อศาลไต่สวนเสร็จก็คงมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการบังคับโทษของนายทักษิณให้กรมราชทัณฑ์นำไปปฏิบัติให้ถูกต้อง คือการนำตัวไปจำคุกในเรือนจำตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์”
ด้าน “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก(14 มิ.ย.68)หัวข้อ “เส้นทางกลับสู่คุก”
สาระสำคัญ “หมอวรงค์” อ้างถึงการติดตามการไต่สวนของศาลฯนัดแรก มีข้อสังเกตดังนี้
1.พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ ได้ตรวจร่างกายนายทักษิณ และระบุว่า นายทักษิณอยู่ในเกณฑ์ผู้ต้องขัง 608 ซึ่งหมายความว่า มีผู้ต้องขังอายุเกิน 60 ปี และมีโรคเรื้อรัง 8 โรค
ข้อสงสัย คือ "เกณฑ์ 608" เป็นแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยเรา ใช้ในการจัดกลุ่ม "ผู้มีความเสี่ยงสูง" ต่อการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น COVID-19 โดยเฉพาะช่วงที่มีการแพร่ระบาดหนัก โดยใช้เพื่อ วางแผนการให้วัคซีน ไม่รู้ว่าราชทัณฑ์จัดเกณฑ์นี้เพื่ออะไร มีอภิสิทธิ์อะไรในกลุ่มนี้ เพื่อทุกคนหรือไม่ หรือเพื่อบางคน
2.หากมีเหตุฉุกเฉินสามารถส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลภายนอก และทำใบส่งตัวไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นเรื่องปกติในเรือนจำ
การทำใบส่งตัวล่วงหน้า ถ้าเป็นอาการป่วยปกติพอเข้าใจได้ แต่การทำใบส่งตัวล่วงหน้า หากมีเหตุฉุกเฉินสามารถส่งตัวไปภายนอก จะรู้ได้อย่างไรว่า เหตุฉุกเฉินนั้นจะเกิด หรือมันใช่โรคที่เขียนไหม เช่น ถ้าเป็นนิ้วล็อก แต่ตอนดึกมาเป็นหัวใจกำเริบ มันคนละอาการ อย่างไรก็ต้องให้แพทย์มาดู ถ้ารักษาไม่ได้ ต้องเขียนใบส่งตัวใบใหม่
3.จากการตรวจสอบพบว่า นายทักษิณมีอาการความดันโลหิตสูง ค่าออกซิเจนในเลือดต่ำ นอนไม่หลับ แน่นหน้าอก แพทย์ไม่ได้ตรวจวินิจฉัยแต่พยาบาลเป็นผู้โทร.ไปประสาน นพ.ณัฐพร แพทย์ประจำโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แพทย์ให้ความเห็นว่า สามารถส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำได้ทันที เนื่องจากมีใบส่งตัวอยู่แล้ว
อาการที่กล่าวเป็นเหตุฉุกเฉิน(ถ้าเป็นจริง) ทำไมไม่ส่งไปรพ.ราชทัณฑ์ ซึ่งอยู่ติดกัน และถือว่ามีความพร้อมสูงเช่นกัน แต่ส่งตัวนายทักษิณไปรพ.ตำรวจ
4.ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อยู่ใกล้กับเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เรียกได้ว่ามีบริเวณรั้วติดกับเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งปกติผู้ต้องขังจะต้องถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ทุกครั้งก่อนส่งไปโรงพยาบาลภายนอก
คำเบิกความนี้เป็นการยืนยันขั้นตอนนักโทษทั่วไปว่า ถ้ามีนักโทษป่วย ต้องส่งไปที่รพ.ราชทัณฑ์ก่อนทุกครั้ง ถ้ายังรักษาไม่ได้จึงส่งต่อรพ.ภายนอก ดูแล้วย้อนแย้งกับคดีนายทักษิณ ที่สำคัญ "ทักษิณ" มิได้เข้าไปตรวจวินิจฉัยโรคที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์แต่อย่างใด
หยุดอยู่ที่แผนกพยาบาลของเรือนจำ แล้วไปนอนห้องวีไอพีโรงพยาบาลตำรวจทันที แทนที่จะเข้าห้องไอซียูเพื่อให้เหมาะกับอาการป่วยวิกฤต
5.การส่งตัว "ทักษิณ" เป็นไปตามขั้นตอนมาตรา 55 ของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ปี 2560 ไม่ได้ใช้การส่งตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา) ที่ต้องขออนุญาตศาลก่อน
ประเด็นนี้มีข้อถกเถียง ถ้าอ่านพรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการป่วยนักโทษ มาตรา 54 จะหมายถึงการป่วยทั่วไป มาตรา 55 จะหมายถึงการป่วยที่มีอาการทางจิตหรือโรคติดต่อ และมาตรา 56 หมายถึงการป่วยหนัก บาดเจ็บสาหัส จึงตั้งข้อสงสัยว่า การส่งตัวนายทักษิณไปรักษารพ.ตำรวจโดยอ้างมาตรา 55 นั้นถูกต้องหรือไม่ น่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลต่อการอ้างมาตรา 55 ออกมาภายหลัง
6.มีประเด็นที่ทนายจำเลยซักคือ
การรับตัวผู้ต้องขังเมื่อ 22 ส.ค. 2566 ที่มีการตรวจสอบร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ ซักประวัติ และมาพร้อมหมายจำคุกของศาล ถือเป็นการยืนยันว่าผู้ต้องขังได้รับการบังคับโทษแล้วใช่หรือไม่ ซึ่งศาลบอกว่า "ศาลจะเป็นคนวินิจฉัยเอง"
เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก ในการลงทะเบียนนักโทษตามรท.101 ต้องถอดเสื้อถ่ายรูป พิมพ์ลายนิ้วมือ ต้องทำในแดนคุมขัง มีผู้ต้องขังคนอื่นด้วย ไม่ใช่มาพร้อมหมายจำคุกของศาล ซึ่งศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยเอง ถ้าไม่เป็นไปตามระเบียบ อาจถือว่ายังไม่ได้ติดคุกเลย
7.ทนายให้สัมภาษณ์เรื่องใบเสร็จรับเงิน ไม่มีรายการค่ายา อ้างว่าเคยรักษาต่างประเทศ ไม่มีกฎหมายใดห้ามใช้ยาจากต่างประเทศ
แสดงว่าผู้ป่วยนำยา ที่หมอต่างประเทศจ่ายให้มาทานเองหรือ? แสดงว่าเช่าห้องพิเศษเพื่อนอนกินยาเองใช่ไหม? ทำไมไม่กลับไปกินยาในเรือนจำ สอดคล้องที่แพทยสภาแถลงว่า ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าป่วยวิกฤติ....
เหนืออื่นใด สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจร่วมกันตั้งแต่วันนี้ก็คือ เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หยิบเอาเรื่องนี้มาทำเอง และในอนาคตคงมีคำตัดสินว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ทุกคนต้องเคารพคำตัดสิน เพราะนี่คือ “ความยุติธรรม” ที่ทุกคนเรียกร้องต้องการนั่นเอง







