มท.1 แลกขุมทรัพย์ 'A+' ปรับ ครม. มีได้ก็ต้องมีเสีย

หลังจาก ทักษิณ ชินวัตร ออกมาบ่นเรื่องการทำงานของกระทรวงมหาดไทย ว่า ไม่ค่อยเต็มที่ อยากเอากลับมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย กระแสข่าวปรับ ครม. (คณะรัฐมนตรี)
ที่ดังกระหึ่มท่ามกลางวิกฤติชายแดนไทย-กัมพูชา ก็ไม่อาจมองข้ามทันที
“ทักษิณ” พูดเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งเหมือนไม่พอใจพรรคภูมิใจไทยหลายเรื่อง ที่เล่นเกมการเมืองในรัฐบาล โดยเฉพาะกรณี “พ่อ-ลูก” คนดังแห่งบุรีรัมย์ ออกโรงต้านกฎหมายกาสิโน หรือ ร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
แต่อีกส่วนหนึ่ง วิเคราะห์กันว่า “ทักษิณ” ต้องการที่จะใช้กระทรวงมหาดไทยสร้างผลงานเร่งด่วน เพื่อสร้างกระแสให้กับรัฐบาล โดยเฉพาะทำสงครามกับยาเสพติด “ภาค 2” เหมือนกับที่เคยทำสำเร็จ สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ซึ่ง “ทักษิณ” เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะอีกไม่นาน ก็จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปี2570 ขณะที่ผลงานด้านเศรษฐกิจที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยตั้งความหวังเอาไว้สูง แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จ
ที่สำคัญ “ทักษิณ” อาจอ่านขาดแล้วว่า พรรคภูมิใจไทย มีทางเลือกไม่มากนัก หากยังต้องการเป็นรัฐบาล เพราะไม่มีทางที่จะร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาชนได้ หรือ ถ้ายอมทิ้งแนวทาง “อนุรักษ์” พรรคประชาชน ก็ไม่ทิ้งอุดมการณ์ที่ตัวเองยึดมั่น เพียงเพื่อเป็นรัฐบาล ซึ่งเท่ากับเป็นการ ฆ่าตัวตายทางการเมือง
ดังนั้นแค่นี้ ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้พรรคภูมิใจไทย “จำยอม” ได้แล้ว?
ทว่าท่าที “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย(มท.1) ในวันที่สถานการณ์ไม่เป็นใจให้พรรคเพื่อไทยแข็งกร้าว เพราะถูกปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา รุมเร้า เนื่องจากมิตรภาพระหว่าง “ทักษิณ” กับ “ฮุน เซน” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งกัมพูชา ถูกมองว่า เป็นเหตุให้รัฐบาลไม่แสดงออกอย่างชัดแจ้งในการตอบโต้การรุกล้ำดินแดนไทยของกัมพูชา หรือ พูดให้ชัดเจน รัฐบาลพรรคเพื่อไทย กำลังเผชิญหน้ากับศึกชาตินิยม ทั้งภายในประเทศตัวเอง และประเทศกัมพูชา
แน่นอน, ภาวะเช่นนี้ สิ่งที่รัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ต้องการที่สุดก็คือ เสถียรภาพ ความเป็นหนึ่งเดียวของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งย้อนแย้งอย่างยิ่งกับกระแส ปรับครม. โดยเฉพาะการยึดกระทรวงมหาดไทย กลับมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย
“พรรคภูมิใจไทยไม่ได้เดินไปขอร่วมรัฐบาล…เพื่อไทยเชิญมาเองตั้งแต่กินช็อกมิ้นต์ จำได้ไหม” นี่คือ สิ่งที่ “เสี่ยหนู” อนุทิน เตือนความจำพรรคเพื่อไทย
“ไม่มี เพราะตกลงกันไว้แล้ว” และการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องของ “ยอม” หรือ “ไม่ยอม” แต่เป็นเรื่องของข้อตกลง”เมื่อถูกถาม หากต้องแลกกระทรวงจะยอมแลกหรือไม่
นอกจากนี้ “อนุทิน” ย้ำว่า พรรคของตนทำงานตอบสนองนายกฯ มาแล้วสองคน และยังคงเคารพผูกพันกับนายกฯ แพทองธาร อย่างราบรื่น / ส่วน กระแสข่าวนัดกินข้าวกับพรรครวมไทยสร้างชาติในวันที่ 8 มิถุนายน “อนุทิน” ปฏิเสธทันทีว่า “ไม่มีนัดกินข้าว มีแต่นัดทำงาน” โดยระบุว่า ได้หารือร่วมกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เรื่องค่าไฟฟ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระทรวงพลังงาน มหาดไทย และอุตสาหกรรม เพื่อเตรียมจัดเวิร์คช็อปร่วมในเร็ววัน โดยจะเชิญนายกฯ เป็นประธานเปิดงาน
เมื่อถามถึงข้อกล่าวหาที่ว่า ภูมิใจไทยอาจจับมือกับรวมไทยสร้างชาติ เพื่อต่อรองกับเพื่อไทยนั้น “อนุทิน” ย้อน ถาม “ทำไมดูถูกพรรคการเมือง” พร้อมกล่าวว่า “เรื่องการต่อรองจบไปตั้งแต่เดือน ก.ค. 66 แล้ว”
สุดท้าย “อนุทิน” ย้ำด้วยว่า ไม่มี ส.ส.พรรคไหนเสนอสูตรเกลี่ยกระทรวงใหม่ได้ ถ้าไม่ใช่หัวหน้าพรรค เลขาธิการ หรือโฆษกพรรค ให้ถือว่า “ไม่จริง เชื่อไม่ได้” และหากมีชื่อหลุดจากเก้าอี้ มท.1 “ก็ไม่ได้เตรียมความคิดไว้ เพราะมันเกิดขึ้นไม่ได้”
อย่างไรก็ตาม เทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช อ่านเกม “ยึดกระทรวงมหาดไทย” ของ “ทักษิณ” ครั้งนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด โดยโพสต์เฟซบุ๊ก ระบุตอนหนึ่งว่า
“...มีกระแสข่าว เสนอสูตรการจัดคณะรัฐมนตรีตามข้อเรียกร้องของพรรคภูมิใจไทย ออกมาเป็น 2 สูตร... สูตรแรก คือ 1 รองนายกรัฐมนตรี กับ 3 รัฐมนตรีว่าการ คือ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยอมลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปหนึ่งตำแหน่ง ซึ่งอาจจะหมายถึงการลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษานวัตกรรม (อว.) ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐมนตรีอยู่ สูตร 2 มีรองนายกรัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง ต้องได้ควบคุมกำกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี)
ถ้าหากข้อเสนอ 2 สูตรนี้ของพรรคภูมิใจไทยจริง และพรรคเพื่อไทยยอมรับได้ ก็น่าจะเป็นเงื่อนไขที่สามารถลงตัวได้ เพราะถือว่าไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบมากนัก สูตรที่1 ได้ 1รองนายกฯกับ3รัฐมนตรีว่าการ แต่เป็นกระทรวง เกรด A เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงคมนาคม กับสูตร 2 ที่มี 1 รองนายกฯ กับ 4รัฐมนตรีว่าการ เป็นกระทรวง เกรด A เหมือนกัน แต่ไม่มีกระทรวงเกรด A + + แบบกระทรวงคมนาคม อยู่ที่พรรคเพื่อไทยจะยอมรับกติกานี้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงคมนาคมซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของพรรคเพื่อไทย สูตรที่ 2 จะยอมเสียกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือไม่ เพราะเป็นกระทรวงทางเศรษฐกิจ ซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องรับผิดชอบนโยบายทางเศรษฐกิจ ที่ตอนนี้อยู่ในภาวะย่ำแย่ ไม่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว จะโอนกระทรวงทางเศรษฐกิจให้กับพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่มีเหตุผลพอ และจะทำให้ผลงานของรัฐบาลในด้านการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่เกิดผลสำเร็จ
เพราะฉะนั้น 2 สูตรนี้ ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ยอม และต้องการจะเอากระทรวงมหาดไทยคืน อำนาจต่อรองของพรรคภูมิใจไทยอาจจะน้อยลง แต่ว่าเมื่อมีกระแสข่าวว่า ทั้งอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กับนายพีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จะนัดร่วมรับประทานอาหารกัน แม้ว่าโฆษกของพรรคภูมิใจไทยจะออกมาปฏิเสธก็ตาม แต่ถ้า 2พรรคนี้จับมือกันต่อรองกับพรรคเพื่อไทย ก็จะทำให้พรรคเพื่อไทยขยับลำบาก จะยึดคืนกระทรวงได้ยาก ยิ่งหากพรรคในฝ่ายอนุรักษ์นิยมทั้งหมดสามัคคีกัน คือพรรคภูมิใจไทย พรรครวมใจไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งเคยร่วมรัฐบาลมาในสมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
ถ้ากลุ่มอนุรักษ์นิยมทั้งหมดนี้จับมือกันแข็งข้อกับพรรคเพื่อไทย ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และในที่สุดการปรับคณะรัฐมนตรีของนายทักษิณและพรรคเพื่อไทย ก็ไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้ จะยึดคืนกระทรวงมหาดไทย ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด.”
ด้าน ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ก็ได้แสดงความคิดเห็นต่อกระแสข่าวปรับครม.เช่นกัน โดยโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กมีสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า
1.ข้ออ้างว่า ทุกวันนี้กระทรวงมหาดไทยทำงานไม่เต็มที่ ต้องให้โอกาสพรรคเพื่อไทยบ้าง ผมมองว่า เป็นข้ออ้าง เพราะคุณทักษิณและเพื่อไทย มองเห็นความน่าสะพึงกลัวการเติบโตและเครือข่ายของพรรคภูมิใจไทยต่างหาก ในทางการเมือง ถ้าพรรคภูมิใจไทยห่วยจริง เพื่อไทยต้องยิ้มมุมปากปล่อยให้ทำงาน เพราะเห็นแล้วไม่มีผลงาน ยิ่งไม่ต้องเรียกคืนเลย
2.ข้อเสนอแลกกระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี), กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากับกระทรวงมหาดไทยของภูมิใจไทยนั้น เป็นการแก้ปัญหาที่ลงตัวของพรรคเพื่อไทย ด้วยเหตุผลดังนี้
2.1 แลกสาธารณสุข สมศักดิ์ เทพสุทิน ก็ข้ามไปนั่ง มท.1 สมใจเหมือนตอนที่หาเสียงกับคนสุโขทัยตอนเลือกตั้งปี 66 ไว้
2.2 ถ้าแลกดีอี ของคุณประเสริฐ จันทรรวงทอง คุณประเสริฐน่าจะเป็นตัวเต็งนั่งมหาดไทย เอ่อ ไม่ทราบว่าส่งสติกเกอร์สวัสดีวันจันทร์แล้วทำอะไรเป็นอีกบ้าง นอกจากอยากคุมกระทรวงเกรดเอ ตรงนี้ผมบ่นเฉยๆนะครับ ไม่ได้ว่าคุณประเสริฐ
2.3 พาณิชย์ และท่องเที่ยว เพื่อไทยเล็งจะปรับออกอยู่แล้ว คุณเอาไปเลย
3.ทฤษฎีสมคบคิดของอดีตเลขาธิการพรรคใหญ่ กับพรรคผู้กอง เพื่อปล่อยข่าวว่าเพื่อไทยจะเอากระทรวงเกษตรด้วย เพื่อเป็นข้ออ้างในการลวง ทั้งๆที่ความเป็นจริง เพื่อไทยจำเป็นต้องพึ่งบริการการขึ้นเกมดูดของพรรคผู้กอง มิกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอย่างนั้นแน่ คือเป้าจริงกะเล่นงานภูมิใจไทยอย่างเดียว
4.คุณทักษิณและเพื่อไทย มองแล้วว่าภูมิใจไทยไม่กล้าจับมือกับพรรคประชาชน เพราะท้ายที่สุดแกนนำพรรคประชาชนจะโดนสอยในคดี ป.ป.ช. เดี๋ยวก็พรรคแตกไล่ดูดตามหลังไปอยู่พรรคผู้กองก็ได้ เชื่อว่าภูมิใจไทยกลัวเป็นฝ่ายค้าน
ส่วนความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ผศ.ดร.วันวิชิต วิเคราะห์ว่า
1.การบีบพรรคภูมิใจไทยที่เป็นตัวแทนพรรคอนุรักษ์นิยมที่เข้มแข็งที่สุดตอนนี้ เท่ากับเพื่อไทยโดดเดี่ยวตัวเอง
2.พรรคภูมิใจไทยไม่ได้มีแค่ 69 เสียงในพรรคร่วมรัฐบาล
3.วุฒิสภาเร่งเกมเอาคืนเพื่อไทยและคุณทักษิณทุกมิติ
4.สถานการณ์นอกสภา ทั้งปัญหาชายแดนทั่วทุกภูมิภาค ร้อนกดดันรัฐบาล ไหนว่าคุณทักษิณมีความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้านไง ทำไมสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ตรงนี้ถึงคราวน็อกได้เลย ถ้าแสดงจุดยืนเรื่องผลประโยชน์ของชาติไม่เป็น
5.ฝ่ายอนุรักษ์นิยมสิ้นสุดความอดทน รอเช็กบิลแบบสุดซอย, แพทยสภา, องค์กรอิสระ ฯลฯ
6.ถ้าคุมหาดไทย การปรับโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรมนำไปสู่การร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยเฉพาะปลัดกระทรวงที่มีอายุราชการถึงปี 74
และ 7.ต่อไปเพื่อไทยจะเหลือพันธมิตรแค่กล้าธรรม, ประชาชาติ เพราะเห็นใครมีผลงานก็จะยึดคืนไม่เป็นไปตามข้อตกลงชั้นแรกในการร่วมรัฐบาล...
เหนืออื่นใด ผู้มีอำนาจคือเป็นผู้กำหนดเกม เกมปรับครม.ก็เช่นเดียวกัน การเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว กับการมีได้ก็ต้องมีเสีย ผลสะเทือนย่อมแตกต่างกัน อยู่ที่ต้องการแบบไหน ผู้กำหนดเกมย่อมรู้แก่ใจดีอยู่แล้ว หรือว่าไม่จริง







