จับสัญญาณ‘ไทย-กัมพูชา’ ตรึง‘กำลังรบ-อพยพคน’

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แม้ “นายกฯ-รองฯภูมิธรรม” ประสานเสียงว่ายังสงบ ไร้สัญญาณปะทะรอบใหม่ แต่เริ่มมีการสั่งอพยพ “เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ”ออกจากพื้นที่แล้ว
KEY
POINTS
- รัฐบาลไทย แถลงการณ์ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดการปกป้องอธิปไตย และคุ้มครองบูรณภาพดินแดนไทย
- รัฐบาลไทยยังคงเน้นการเจรจาอย่างสันติ หลีกเลี่ยงการปะทะ โดยยึด MOU43 ผ่าน 3 กลไกเท่านั้น
- ข้อร้องเรียนทหารไทยถูกทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามา 200 เมตร ขณะที่ยังยืนยัน จะใช้เวที เจบีซี ณ กรุงพนมเปญ ที่กัมพูชา
มาช้าดีกว่าไม่มา “รัฐบาลไทย” เริ่มออกมา“แอ็กชั่น”ต่อสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา หลังถูกกระแสสังคมตั้งคำถามต่อท่าทีของรัฐบาล หลังฝ่ายกัมพูชารุกหนัก
โดยเฉพาะกรณีนายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร” และ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ปฏิเสธใช้มาตรการปิดด่านชายแดน ตามข้อเสนอของฝ่ายทหาร ที่หวังกดดันตอบโต้ทหารกัมพูชา ที่รุกล้ำพื้นที่ฝั่งไทยเข้ามา 200 เมตร
ตลอดจนถึงการแสดงท่าทีแข็งกร้าวของ “ฮุนมาเนต” นายกฯกัมพูชา และ “ฮุน เซน” ประธานพฤตสภากัมพูชา ทั้งกรณีประกาศไม่ถอยกำลังจุดปะทะ อีกทั้งยังเคลมปราสาท ตามสถานที่ต่างๆ และเตรียมยกระดับข้อพิพาทขึ้นสู่ ศาลโลก
ที่ผ่านมา มีเพียง “กองทัพบก” ที่ออกมาตอบโต้-ชี้แจง งัดข้อมูลมาหักล้างข้อกล่าวอ้างของฝ่ายกัมพูชา พร้อมทั้งประคับประคองสถานการณ์ในพื้นที่ด้วยความอดทนอดกลั้น เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงแม้ถูกยั่วยุ
ล่าสุด วานนี้ (4 มิ.ย.) “รัฐบาลไทย” ออกแถลงการณ์ว่า ตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดการปกป้องอธิปไตย และคุ้มครองบูรณภาพดินแดนไทยเต็มที่ โดยยึดหลักแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ตาม กฎหมายระหว่างประเทศ และยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม
พร้อมกับระบุ แนวทางแก้ปัญหา รัฐบาลไทยยังคงเน้นการเจรจาอย่างสันติ หลีกเลี่ยงการปะทะ โดยยึด MOU43 ผ่าน 3 กลไกเท่านั้น ประกอบด้วย
1.กลไกด้านความมั่นคงของกระทรวงกลาโหม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC)
2.กลไกทางการทูตของกระทรวงการต่างประเทศ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee - JBC)
3.กลไกด้านความมั่นคงของกองทัพภาค คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee - RBC)
นายกฯแพทองธาร ประกาศว่า ไม่ยอมเสียดินแดนให้กับเพื่อนบ้าน และแม้ไทยจะรักสงบ แต่ก็รบไม่ขลาด หวังส่งสัญญาณว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ แม้ไม่แสดงท่าที “ดุดัน” แต่มีแผนและยุทธศาสตร์รับมือ
ขณะ “ภูมิธรรม” ลงพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ทำความเข้าใจกับทหารในพื้นที่ ถึงนโยบาย และแนวทางแก้ไขปัญหาของรัฐบาล รวมถึงข่าวลือ เฟกนิวส์ ที่สร้างความไม่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาล-กองทัพ จนกระทั่งมีการเรียกร้องให้ยึดอำนาจ
พร้อมกันนี้ “ภูมิธรรม” ตรวจสอบจุดปัญหาที่ทหารไทยร้องเรียน ถูก ทหารกัมพูชา รุกล้ำเข้ามา 200 เมตร ขณะที่ยังยืนยัน จะใช้เวที “เจบีซี” ณ กรุงพนมเปญ ที่กัมพูชาเป็นเจ้าภาพ ในวันที่ 14 มิ.ย. ส่วนการปิดด่าน จะงัดมาตรการนี้มาใช้ เมื่อจำเป็น
ทั้งนี้ แม้จุดปะทะจะอยู่ที่ ช่องบก บริเวณต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว จังหวัดอุบลราชธานี แต่ส่งผลให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระอุคุกรุ่นตลอดแนว จนถึงบริเวณ เขาพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ รวมถึงจังหวัดสระแก้ว
“กองทัพบก” โชว์กำลังพร้อมรบ ตั้งแต่ “ราบ- ม้า- ปืน” ของกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 กองทัพภาคที่ 3 และหน่วยสนับสนุนอื่นๆ อย่างพร้อมเพรียง
ส่วน “กองทัพอากาศ” งัด เครื่องบินรบ - โดรนติดอาวุธ มาตรวจเช็คความพร้อม รวมถึงหน่วยกำลังต่อสู้ทางอากาศ เพื่อสนับสนุนภารกิจชายแดนให้กองทัพบกในอนาคตปกป้องน่านฟ้าและแผ่นดินไทย
โดยเฉพาะ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่ปลุกขวัญกำลังพลตลอดแนวชายแดน-กัมพูชา ไม่เว้นแต่ละวัน เน้นพื้นที่สำคัญ เช่น ปราสาทตาเมือนธม ฐานทัพช่องบก ฐานทัพภูมะเขือ
สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ แม้ “นายกฯแพทองธาร-รองฯภูมิธรรม” จะประสานเสียงว่า ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังสงบ ไร้สัญญาณการปะทะรอบใหม่ แต่ความเคลื่อนไหวในพื้นที่ กลับเริ่มมีการสั่งอพยพ “เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ”ในหมู่บ้านตามแนวชายแดน ออกจากพื้นที่ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวหมดแล้ว
ชายแดนไทย-กัมพูชา เต็มไปด้วยกำลังทหาร อาวุธหนัก ยุทโธปกรณ์อื่นๆ ของฝ่ายไทย-กัมพูชา ประจำอยู่เต็มพื้นที่ตลอดแนวชายแดน ที่สำคัญปลายกระบอกปืน ต่างฝ่ายต่างหันเข้าหากัน
หากเทียบกำลังพล-อาวุธยุทโธปกรณ์ ระหว่างกองทัพไทย กับกองทัพกัมพูชา จากข้อมูลบนเว็บไซต์ Global Firepower หรือ GFP ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดอันดับความแข็งแกร่งกองทัพของแต่ละประเทศ ด้วยการประเมินจากดัชนีชี้วัดต่าง ๆ เช่น กำลังพล ยุทโธปกรณ์ ทรัพยากรธรรมชาติ และการเงิน ล่าสุดในปี 2025 ระบุว่า กองทัพไทยมีความแข็งแกร่งเป็นอันดับที่ 25 ของโลก ขณะที่กัมพูชาอยู่ที่อันดับ 95
รวมถึงศักยภาพโดยรวมของไทย เช่น กำลังพล ทั้งทางบก อากาศ และน้ำ เหนือกว่าฝั่งกัมพูชา รวมถึงปัจจัยทั่วไปอย่าง สภาพการเงิน โลจิสติกส์ ทรัพยากรธรรมชาติ ก็ดีกว่าเช่นกัน จะมีเพียงปัจจัยทางภูมิศาสตร์เท่านั้น ที่ไทยแพ้กัมพูชา
อย่างไรก็ตาม “หน่วยงานความมั่นคงไทย” เคยประเมินศักยภาพกองทัพกัมพูชาในห้วง 10 ปีที่ผ่านมา พัฒนาใกล้เคียงกับกองทัพไทย
ทั้งการเพิ่มกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ๆ ที่ได้รับจากประเทศมหาอำนาจจำนวนมาก จนเกิดความมั่นใจว่า มีศักยภาพมากพอจะต่อกรกับชาติใดก็ได้ เช่น
ปืนใหญ่อัตตาจร SH-1 ระยะยิง 30-53 กิโลเมตร และสามารถยิงกระสุนนำวิถีด้วยเลเซอร์ได้
จรวดหลายลำกล้อง Type 90B/RM-70/BM-21 มีระยะยิง 20-40 กิโลเมตร
จรวดหลายลำกล้อง PHL-03 ระยะยิง 70-130 กิโลเมตร
จรวดต่อสู้อากาศยาน KS-1C ระยะยิง 70 กิโลเมตร
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกำลังรบไทยกับกัมพูชา วัดจากการสู้รบเมื่อปี 2554 พบว่า ในขณะนั้นกำลังรบไทย 1 กัมพูชา 0.3 แต่ปัจจุบันกำลังรบไทย 1 กัมพูชา 0.8-0.9
ส่วนอาวุธสำรอง หมายความว่า จะสามารถรบได้กี่วัน ต้องมีกระสุนเท่าไหร่ โดยการสู้รบปี 2554 ทหารไทยใช้เวลารบกับทหารกัมพูชา 10 วัน จนล่าถอย แต่ปัจจุบันทหารไทยอาจต้องใช้เวลา 20 วัน และต้องระดมกำลังรบเป็น 3 เท่าของปี 2554
กระนั้น อาวุธยุทโธปกรณ์ ที่กัมพูชาได้รับมาจากประเทศมหาอำนาจ ไม่สามารถการันตีได้ว่า ใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ 100% ทั้งความชำนาญในการใช้อาวุธของกำลังพล วงรอบการซ่อมบำรุง เพื่อให้คงสภาพความพร้อมรบ
ในขณะที่งบประมาณการดูแล กระทรวงกลาโหมกัมพูชามีงบประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนกระทรวงกลาโหมไทย มีงบประมาณ 200,000 ล้านบาท หรือ 10 : 1 ดังนั้น การพัฒนากองทัพจึงเทียบกันไม่ได้
ส่วนยุทธศาสตร์กองทัพ กัมพูชายังใช้รูปแบบเดิม คือ สร้างสิ่งปลูกสร้าง หมู่บ้าน ถนน มาเป็นกันชน ส่งผลให้พื้นที่ชายแดนฝั่งกัมพูชาเปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อเทียบกับปี 2554
เช่นเดียวกับกองทัพไทย ยึดยุทธศาสตร์ต่อสู้เบ็ดเสร็จตามแนวชายแดน ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีป่า ภูเขา อ่างเก็บน้ำ เป็นกันชน สภาพชายแดนจึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
เหลือเพียง 9 วัน ก่อนถึงนัดหมายการประชุมเจบีซี 14 มิ.ย. ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา รัฐบาลไทยคาดหวังว่า จะเป็นกลไกคลี่คลายปัญหา แต่หากไม่เป็นไปตามคาดหวัง จะใช้กลไกอื่นๆ ที่มีต่อไป ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีโอกาสปะทะกันได้ตลอดเวลา







