ประวัติศาสตร์บาดลึก 'ช่องบก' พคท. เขมรแดง เวียดนาม และฮุนเซน

เปิดประวัติศาสตร์บาดแผล กรณี “ช่องบก” หรือ “สามเหลี่ยมมรกต” จากสมัยสงครามเย็น ผ่านยุคแปรสนามรบเป็นสนามการค้า จนมาถึงเกมชาตินิยมใหม่ “ไทย-กัมพูชา”
ขุดปูมหลังยุทธการช่องบกปี 2528 “เวียดนาม” สมคบ “เฮงสำริน-เจียซิม-ฮุนเซน” ทดสอบแผนยึดภาคอีสาน แต่ไม่สำเร็จ
ปี 2553 “ฮุนเซน” ปรับแผนเหยียบศาลาตรีมุข สามเหลี่ยมมรกต แสดงเขตอธิปไตยกัมพูชาแบบเงียบๆ ก่อนจะประกาศต่อชาวโลกในปีนี้
“ช่องบก” ช่องทางธรรมชาติ บนเทือกเขาพนมดงรัก เป็นเส้นทางลงสู่ที่ราบเขมร และห่างจากช่องบกมาไม่ไกล ก็มี “สามแยกลาว” ที่เดินทางลงสู่ลาวใต้
ภายหลังมีการประดิษฐ์คำขึ้นใหม่เรียกบริเวณนี้ว่า “สามเหลี่ยมมรกต” เพราะเป็น พื้นที่รอยต่อ 3 ประเทศ (ไทย-ลาว-กัมพูชา) คือ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมืองมุนละปาโมก แขวงจำปาสัก และ อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร
มาถึงวันนี้ รัฐบาลเพื่อไทย แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีสามเหลี่ยมมรกต กลายเป็นปมขัดแย้งเรื่องเขตอธิปไตย และเสี่ยงต่อการขึ้นสู่ศาลโลก
ในแง่ประวัติศาสตร์ระยะใกล้ ไม่ต้องย้อนไปถึงยุคอาณานิคมฝรั่งเศส “ช่องบก” และ “สามเหลี่ยมมรกต” มีการพลิกผันไปตามบริบทการเมืองทั้งไทยและกัมพูชา ในแต่ละยุคแต่สมัย ทั้งรบกันดุเดือด ทั้งรักกันหวานชื่น
1. สมัยสงครามเย็น ช่องบกและสามแยกลาว เป็นที่มั่นของ “ทหารป่า” เขต 11 อุบลฯใต้ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) อีสานใต้
2. สมัยสงครามต่อต้านเวียดนาม ช่องบกเป็นสมรภูมิรบระหว่างทหารไทย-ทหารเขมรแดง กับทหารเวียดนาม-ทหารเฮงสำริน
3. สมัยแปรสนามรบเป็นสนามการค้า ช่องบกและเนิน 500 (สามแยกลาว) เข้าสู่โหมดสันติภาพ จึงมีการสร้าง “ศาลารวมใจไทย กัมพูชา ลาว” (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นศาลาตรีมุข) เป็นสัญลักษณ์ความร่วมมือร่วมใจของ 3 ประเทศ
4. สมัยสงครามชาตินิยมใหม่ สมเด็จฮุนเซน และท่านผู้หญิงบุนรานี เดินทางมาเยือนศาลาตรีมุข เมื่อปี 2553 ระหว่างที่ไทย-กัมพูชา กำลังมีข้อพิพาทกรณีปราสาทพระวิหาร
ช่องบกใต้ร่มธงแดง
นับแต่ปี 2509 จนถึงปี 2521 พื้นที่ “ช่องบก” และ “สามแยกลาว” ฝั่งพรมแดนไทย ด้าน อ.น้ำยืน อ.นาจะหลวย และ อ.บุณฑริก จ.อุบลราชธานี เป็นที่มั่นจรยุทธ์ของ “ทหารป่า” หรือเขต 11 อุบลฯใต้
ห้วงเวลานั้น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ศูนย์การนำอีสานใต้ ได้แบ่งเขตงานย่อยออกเป็น 7 เขต ได้แก่ เขต 11 (อุบลฯ) , เขต 30 (ศรีสะเกษ-สุรินทร์) , เขต 203 (บุรีรัมย์) และเขต 205 (นครราชสีมา-สระแก้ว)
ปี 2510-2517 พคท.อีสานใต้ ได้จัดตั้งโรงเรียนการเมืองการทหารที่ อต.4 อยู่ในแขวงจำปาสัก ราชอาณาจักรลาว เมื่อสหายไทยเรียนจบแล้ว ก็จะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยทาง “สามแยกลาว-ช่องบก”
ช่วงปี 2517-2521 พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา หรือ “เขมรแดง” ปกครองกัมพูชา จึงได้อำนวยความสะดวกให้ พคท.อีสานใต้ ใช้ดินแดนกัมพูชา เป็นฐานที่มั่นใหญ่ มีทั้งโรงเรียนการเมือง-การทหาร และแหล่งผลิต
ปี 2520 ศูนย์การนำ พคท.อีสานใต้ ใช้พื้นที่เมืองสำโรง จ.อุดรมีชัย เปิดโรงเรียนการเมือง-การทหาร 305 ซึ่ง ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม สมัยเป็นนักศึกษามีชื่อจัดตั้งว่า “สหายใหญ่” เป็นผู้บังคับกองร้อย ฝ่ายการเมือง รับผิดชอบกองร้อยโรงเรียนการเมือง-การทหาร 305
ต้นปี 2522 กองทัพเวียดนามเข้ายึดกรุงพนมเปญ โค่นเขมรแดง ทางศูนย์การนำ พคท.อีสานใต้ จึงสั่งสหายไทย อพยพออกจากกัมพูชาเข้าสู่แผ่นดินไทย และถอยจากอุบลฯ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ลงมาอยู่แถวนครราชสีมา และสระแก้ว
เบื้องลึกศึกช่องบก
หลังกองทัพเวียดนาม และกำลังแนวร่วมสามัคคีประชาชาติกัมพูชา ประมาณ 2 แสนคน บุกยึดกัมพูชาโค่นระบอบเขมรแดง สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา ที่มีผู้นำ 3 คนคือ เฮง สำริน เจีย ซิม และฮุน เซน
เวลานั้น เฮง สำริน เป็นนายกรัฐมนตรี เจีย ซิม เป็นรัฐมนตรีกลาโหมและฮุน เซน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ
พลันที่เวียดนามยึดครองกัมพูชา รัฐบาลไทยสมัยนั้น จึงร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยใช้ไทยเป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธสนับสนุนเขมรแดง ทำการสู้รบกับทหารเวียดนาม และทหารเฮง สำริน
เหตุที่ไทยต้องดำเนินนโยบายหนุนเขมรแดง เนื่องจาก พ.ศ.โน้น เวียดนามมีแผนการยึดครองภาคอีสานของไทย
ปลายปี 2527 ทหารเวียดนามได้เคลื่อนกำลังมายึดเนิน 500 (สามแยกลาว) และช่องบกแบบเงียบๆ เมื่อเขมรแดงแจ้งข่าวมาว่า พบฐานทหารเวียดนามในเขตไทย กองทัพภาคที่ 2 จึงมีการพิสูจน์ทราบและขับไล่ผู้รุกราน
จากต้นปี 2528-2531 ได้เกิดการสู้รบเต็มรูปแบบ ระหว่างทหารกองทัพภาคที่ 2 และทหารเวียดนาม-ทหารเฮงสำริน ช่วงแรกทหารไทยเสียเปรียบ เพราะใช้ทหารราบเป็นกำลังหลัก
ช่วงหลังกองทัพภาคที่ 2 ปรับยุทธวิธีใช้ทหารพรานปักธงชัย ผสมทหารเขมรแดง ทำสงครามจรยุทธ์ จึงยึดเนิน 500 และช่องบกกลับคืนมาได้
จากสันติภาพสู่สงคราม
ปี 2531 พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงผลักดันให้เกิดสันติภาพในกัมพูชา และชูนโยบาย “แปรสนามรบเป็นสนามการค้า”
ปี 2532 พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี สมัยเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ก่อสร้าง “ศาลารวมใจไทย กัมพูชา ลาว” ที่บริเวณเนิน 500 ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “ศาลาตรีมุข” และเรียกขากเนิน 500 ว่า “สามเหลี่ยมมรกต”
สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มีแนวคิดพัฒนาพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต เป็นแหล่งท่องเที่ยวของ 3 ประเทศ และมีแผนสร้างสนามกอล์ฟด้วย
ตัดกลับมา พ.ศ.ปัจจุบัน เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2568 สมเด็จฮุน เซน อ้างหลักฐานว่า พื้นที่ “สามเหลี่ยมมรกต” รอยต่อไทย-ลาว-กัมพูชา เฉพาะบริเวณศาลาตรีมุข (รวมทั้งช่องบก) เป็นของกัมพูชา
สมเด็จฮุน เซน อ้างมีกองทหารกัมพูชาประจำการอยู่สามเหลี่ยมมรกตตั้งแต่ก่อนข้อตกลงสันติภาพปารีส 14 ปี ก่อนมีบันทึกความเข้าใจปี 2000 UNTAC
พร้อมกันนั้น สมเด็จฮุน เซน ได้โพสต์ภาพถ่ายเป็นหลักฐาน “...ฉัน ภรรยา และเพื่อนร่วมงานที่ไปเยี่ยมชมพื้นที่ดังกล่าวเมื่อกว่า 15 ปีที่แล้ว พิสูจน์ได้ชัดเจนว่านี่คือดินแดนของกัมพูชา”
ภาพชุดที่ว่านั้น สมเด็จฮุน เซน และท่านผู้หญิงบุน รานี ยืนถ่ายรูปที่ด้านหน้าศาลาตรีมุข หรือที่กัมพูชาเรียกว่า ศาลาร่มฉัตร เมื่อปี 2553
จากอดีตถึงปัจจุบัน ประวัติศาสตร์บาดลึกระหว่างไทย-กัมพูชา ส่อเกิดสงครามครั้งใหญ่ หากยังติดกับดักสงครามชาตินิยม







