‘แม่ทัพไพศาล’ ลูก ส.ท.คลิ้ง วัดพลังโอบอุ้ม ‘มทภ.4’

มทภ.4 เผชิญปัญหาเลื่อนยศ ปลดย้าย โผผู้การฯรอบล่าสุด เคาะเลือก“ผู้บังคับการ”คุมกำลังได้เพียง 2 คน เก่งงานด้านยุทธวิธี-ด้านการข่าว แต่ไม่เพียงพอเป็นมือเป็นไม้ในการทำงานในพื้นที่ จชต.
KEY
POINTS
- แม่ทัพภาคที่ 4 รายงาน "ปฏิบัติการ 120 วัน แก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กองทัพภาคที่ 4 ต่อหน้า “ทักษิณ ชินวัตร”
- กระแสข่าวเปลี่ยนตัว “มทภ.4” หลังเกิดเหตุรุนแรงในพื้นที่ถี่ยิบรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ในช่วงการแต่งตั้งโยกย้ายปลายปี ก.ย.2568 นี้
ในเวทีที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ มุมมองและความท้าทายต่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน” ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) 27 พ.ค.
หัวข้อหนึ่ง ทักษิณ ให้ความสำคัญการประสานความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน หวังทลายแหล่งผลิตยาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดอยู่ติดจังหวัดในภาคเหนือไทย ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ในความรับผิดชอบ “กองทัพภาคที่ 3”
สำหรับเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด ทะลักตามแนวชายแดน เข้ามาทางจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน เข้าพื้นที่ตอนใน โดยมีกทม.และจังหวัดปริมณฑล เป็นแหล่งพักคอย จากนั้นลำเลียงสู่พื้นที่ภาคใต้ของไทย
แต่ไฉน “ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ถึงพุ่งเป้าไปที่ “พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมกำหนดหัวข้อให้มารายงาน "ปฏิบัติการ 120 วัน แก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กองทัพภาคที่ 4 ต่อหน้า “ทักษิณ ชินวัตร”
ปาฐกถาพิเศษพิเศษดังกล่าว เกิดคล้อยหลังเพียงวันเดียว พล.ท.ไพศาล เดินทางมาจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าเมืองกรุง ร่วมประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก มี พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. เมื่อ26 พ.ค.
ท่ามกลางกระแสข่าวเปลี่ยนตัว “มทภ.4” หลังเกิดเหตุรุนแรงในพื้นที่ถี่ยิบรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ในช่วงการแต่งตั้งโยกย้ายปลายปี ก.ย.2568 นี้
พล.ท.ไพศาล หรือ “บิ๊กศาล” เตรียมทหารรุ่น25(ตท.25) แต่ชาวบ้านในพื้นที่เรียกกันติดปาก “แม่ทัพไพศาล” ชื่อเพลงถูกแต่งขึ้นและเผยแพร่ในวันที่ได้ก้าวขึ้นเป็น มทภ.4
มีเนื้อหาเพลงบรรยาย พล.ท.ไพศาล บุตร ของ ส.ท.คลิ้ง (อดีต ส.ท.สงขลา) แม่เกลื่อม หนูสังข์ มีนิสัยส่วนตัวเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ใจถึงพึ่งได้ ตามสไตล์คนปักษ์ใต้
“แม่ทัพไพศาล”ถูกคาดหวังไว้สูง จะแก้ไขปัญหา 3 จชต.ไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะเป็นลูกหม้อ ทภ.4 คร่ำหวอดในพื้นที่มานาน เคยเป็นทั้งผู้การ ผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจสำคัญในพื้นที่ และผู้บัญชาการกองพล
อีกทั้งยังเคยทำงานร่วมกับ “บิ๊กปู” พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. ที่ถูกส่งตัวจาก กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ ซึ่งในขณะนั้นยศพันเอก ไปเป็นหัวหน้าฝ่ายยุทธการหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส
ทว่า ผลงาน“แม่ทัพไพศาล”ไม่เป็นไปตามคาด แม้มีความตั้งใจดับไฟใต้ และมองว่าการสร้างความเข้าใจพูดคุยควบคู่กับการปฏิบัติการด้านยุทธวิธีเมื่อจำเป็น คือแนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่
หลังรับตำแหน่ง แม่ทัพไพศาล เผชิญปัญหาเลื่อนยศ ปลดย้าย โผผู้การฯรอบล่าสุด เคาะเลือก“ผู้บังคับการ”คุมกำลังได้เพียง 2 คน เก่งงานด้านยุทธวิธี-ด้านการข่าว แต่ไม่เพียงพอเป็นมือเป็นไม้ในการทำงานในพื้นที่ จชต.
ส่วนที่เหลือเป็นเด็กนั่งหน้าห้องบรรดาบิ๊กๆ ถูกฝากฝังให้เป็นผู้บังคับการ แต่ใช้งานไม่ได้ จนเป็นที่มาประโยคที่ว่า “แตะใครไม่ได้ เพราะเป็นเด็กของบิ๊กคนนั้น บิ๊กคนนี้” ขณะที่ทีมพีอาร์คอยตอบโต้เฟกนิวส์ ประชาสัมพันธ์งานกองทัพภาค 4 อ่อนเกินไป
นอกจากนี้ ปัจจัยยกเลิกจุดตรวจ จุดสกัด ถนนสายรองเชื่อมเข้าหมู่บ้าน ตามออเดอร์ฝ่ายการเมือง ปรับลดกำลังทหารพราน ทั้งระดับกองร้อย ทำให้แต่ละกองร้อยจำนวนบุคคลลดลง แต่ต้องถ่างขาดูพื้นที่ 3-4 อำเภอ
พื้นที่ในเมืองอยู่ในความรับผิดชอบตำรวจ อาสาสมัคร ส่วนทหารดูแลพื้นที่รอบนอก ป่าเขา อีกทั้งมีการยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน ต่อเนื่อง การพูดคุยสันติสุขหยุดชะงัก ปัจจัยการเมืองล้วนเติมเชื้อไฟสถานการณ์ในพื้นที่ให้โหมแรงขึ้น
เดิมที “แม่ทัพไพศาล” อยากเกษียณในเก้าอี้ มทภ.4 ปี 2569 แต่ปัญหาต่างๆ รุมถาโถมเข้ามา จนกลายเป็นจุดเปลี่ยน ระดับนโยบายต้องมานั่งขบคิดว่า“การเปลี่ยนม้ากลางศึก”จะส่งผลดี หรือผลเสียอย่างไร
ส่วนตัว “แม่ทัพไพศาล” มีความชัดเจนว่า หากต้องลุกจากเก้าอี้ มทภ.4 ในการโยกย้ายปลายปี ก.ย.2568 นี้ ก็ไร้ปัญหา ประโยคหนึ่งที่เจ้าตัวมักพูดเสมอคือ “เกิดมาเป็นลูก ส.ท.คลิ้ง ได้เป็น มทภ.4 ถือว่าสูงสุดแล้ว”
ทว่า ในระดับพื้นที่ก็ยังเชื่อว่า “แม่ทัพไพศาล”จะได้ไปต่อ เพราะมั่นใจว่า พลังหลายทิศทางยังคอยโอบอุ้ม ดูได้จากการปรากฎตัวต่อหน้า “ทักษิณ ชินวัตร” ที่บ่งบอกนัยสำคัญ และพลังเพื่อนพ้อง ตท.25
ดังนั้น โยกย้ายปลายปีนี้ ก.ย.2568 ความมั่นคงของเก้าอี้ มภท.4 ของ"แม่ทัพไพศาล" จะเป็นข้อพิสูจน์







