'ปชน.' ย่างก้าวที่มีปัญหา ระวัง 'ศรัทธา' สู่จุดเสื่อม

ใครจะคิดว่า ท่ามกลางพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ต่างก็เผชิญหน้า “นิติสงคราม” จนแทบไม่เป็นอันทำอะไร จะมีเรื่องใหญ่แทรกซ้อน เกิดขึ้นกับพรรคประชาชน (ปชน.) เหมือนกลัวไม่น้อยหน้า
กรณี “กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) เขต 6 จังหวัดชลบุรี พรรคประชาชน ออกมาแสดงจุดยืนขอยุติการร่วมกิจกรรมของพรรค และขอให้ขับออกจากพรรคเพราะความคิดไม่ตรงกัน จนเป็นกระแสร้อนในวงถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา โดยเฉพาะประเด็น “ใครผิด-ใครถูก” ควรถูกขับออกตามที่ขอ หรือ เชือดเป็น “งูเห่า” ในโหลยาดอง กระทั่งเบื้องลึกเบื้องหลังมีการ “ซื้อตัว” ส.ส.โดยพรรคเครือข่ายรัฐบาล เพื่อหวังตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่
กระนั้น ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับพรรคประชาชน ไม่แต่เฉพาะเรื่องนี้เท่านั้น เพราะหลังจากผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน และไม่ตรงปกอย่างที่สัญญากับประชาชนเอาไว้หลายเรื่อง จนอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาตามที่ประชาชนคาดหวัง ซึ่งเหลือเวลาอย่างมาก 2 ปี รัฐบาลจะอยู่ครบเทอม หรือไม่ หาก “ยุบสภา” ก็ถือว่า เร็วเข้ามาอีก
ด้วยเหตุนี้พรรคที่รอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางการเมืองจากความล้มเหลวดังกล่าว(ถ้าเกิดขึ้นจริง) อย่าง พรรคประชาชน ก็พร้อมฉวยโอกาส สวมบท “พระเอกขี่ม้าขาว” ทันที
สังเกตได้จากความเคลื่อนไหว เปิดรับสมัคร ผู้ที่สนใจเข้าร่วมทางการเมืองกับพรรคตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว และถ้าอ่านจาก “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก(16 พ.ค.68) มีความน่าสนใจอยู่หลายประเด็น
ประเด็นแรก เป็นการสืบทอดอุดมการณ์ทางการเมือง จากพรรคอนาคตใหม่ สู่พรรคก้าวไกล จนมาพรรคประชาชน
“เจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้ง ต้องการให้มีพรรคการเมืองที่เป็นของสมาชิกพรรค สมาชิกพรรคเป็นเจ้าของพรรคร่วมกัน
ต้องการทำลายการผูกขาดทางการเมืองในประเทศไทยที่จำกัดไว้และวนเวียนอยู่กับ “ตระกูลการเมือง” ไม่กี่ตระกูล มองตำแหน่งส.ส.ตำแหน่งรัฐมนตรี ตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ เป็น “สมบัติส่วนตัว” ของครอบครัว ชนิดที่ว่าส่งต่อกันเหมือนมรดกประจำตระกูล
ต้องการให้เป็นพรรคการเมืองที่เปิดกว้างกับคนทุกคนที่มีความคิดอุดมการณ์เดียวกัน ใครก็ตามที่พิจารณาแล้วว่าตนเองมีความคิด อุดมการณ์เดียวกับพรรค มีความรู้ความสามารถ มีเจตจำนงอันแรงกล้าต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ มีทัศนคติและยึดถือคุณค่าที่ตรงกับคุณค่าหลักของพรรค ก็สามารถเสนอตัวเข้ามาเป็นผู้สมัครได้ โดยไม่ต้อง “หิ้วกระเป๋าตามนาย” โดยไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์ศฤงคารมากมาย โดยไม่จำเป็นต้องเกิดมาในครอบครัวนักการเมือง โดยไม่ต้องมี “ผู้ใหญ่” ฝากมา
ด้วยเจตนารมณ์เช่นนี้ ทำให้พรรคใช้ “ระบบเปิด” ใครๆก็มีสิทธิแสดงความประสงค์ลงสมัคร และเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกสรรหาตามที่พรรคออกแบบไว้
ประเด็นที่สอง คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมา โดย “ปิยบุตร” ชี้ว่า
อย่างไรก็ตาม ”ระบบเปิด“ เช่นนี้ อาจถูก “แฮ็ค” จนทำให้เสียเจตนารมณ์ได้ เช่น
คนที่ไม่ได้มีความคิดอุดมการณ์เดียวกับพรรค ใช้ “ระบบเปิด” ของพรรค เป็นช่องทางการเข้าสู่การเมือง ไต่เต้าไปเป็นนักการเมือง เป็นทางลัดไปสู่มหาอำมาตย์ทางการเมืองรายใหม่
“นักแสวงโชคทางการเมือง” ไปพรรคนี้ก็ไม่ได้ ไปพรรคนั้นก็ไม่มีช่องทางเข้าไป ก็อาจเห็นช่องทางในการหา “เสื้อ” พรรคประชาชนใส่เพื่อลงรับเลือกตั้ง
“เสือจร” ที่ไม่ได้คิดแบบเดียวกับพรรค แต่เห็นว่าพรรคมีกระแสสูง ก็เลย “จร” เข้ามาอยู่ในพรรคเพื่อเอากระแสไปใช้ในการเลือกตั้ง
แต่ทั้งหลายทั้งปวง เมื่อพิจารณาข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นชั่งน้ำหนักกับข้อดีที่คนหน้าใหม่ได้เข้าสู่วงการเมืองแล้ว ข้อดีมีน้ำหนักกว่ามาก ส่วนข้อเสีย สามารถแก้ไขได้โดยพรรคสร้างกระบวนการคัดเลือกที่แม่นยำ กระบวนการหลอมรวมความคิด ขัดเกลาเหลาอุดมการณ์ของคนที่เข้าร่วมขบวนการต่อไป
ไม่แน่ในความหมายนี้ของ “ปิยบุตร” ส.ส.“กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์” อาจเป็นหนึ่งในนั้นด้วยหรือไม่
ขณะเดียวกัน “วรา จันทร์มณี” เลขาธิการเครือข่ายประชาชนพิทักษ์สิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรม นักวิชาการอิสระด้านสังคมศาสตร์ ก็ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนแรงๆ กับพรรคประชาชน โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก(16 พ.ค.68) หัวข้อ จากกรณี ส.ส.กฤษฎิ์ ถึงพรรคประชาชน เอาไว้น่าสนใจหลายประเด็นเช่นกัน ในที่นี้จะขอหยิบยกมาบางประเด็นเท่านั้น
โดยเฉพาะ “ปัญหา” ที่พรรคประชาชน กำลังย่างก้าวไปสู่พรรคความหวังของประชาชนในอนาคตอันใกล้ ไม่ว่าจะด้วยกระแสที่ประชาชนตอบรับค่อนข้างสูงมาตั้งแต่การเลือกตั้งสมัยที่แล้ว จนกระทั่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ไม่สามารถแก้ปัญหาตามที่สัญญากับประชาชนเอาไว้ได้ แต่กลับมีหลายปัจจัยที่มีโอกาสนำไปสู่ “จุดเสื่อม”
ปัจจัยแรกที่ “วรา จันทร์มณี” ชี้เอาไว้ คือ ‘ด้อม’ เป็นแฟนคลับ เป็นผู้ปกป้องพรรคการเมือง โดยด้อมย่อมาจากคำว่า แฟนด้อม (Fandom) เป็นการผสมคำระหว่าง Fanclub (แฟนคลับ) และ Kingdom (อาณาจักร) จนมาเป็น Fandom ที่มีความหมายว่า กลุ่มแฟนคลับของศิลปิน
“ในการใช้ศัพท์แสลงดังกล่าว ผมมีความรู้สึกตงิดๆ มานานแล้ว กล่าวคือ ด้อมในความหมายของแฟนคลับของศิลปิน มีความหมายไปในทางชื่นชม ชื่นชอบ สนับสนุน คลั่งไคล้ ไม่น่าจะมีความหมายหรือมีนัยยะสำคัญไปถึงหรือเท่ากับอุดมการณ์ทางการเมือง แต่ก็ยอมรับว่าคำนี้ติดกระแส และจำนวนมากยอมรับว่าตนเองเป็นด้อมพรรคการเมือง แต่ความอันตรายของด้อมคือ ศรัทธา คลั่งไคล้ จนลืมตรวจสอบ ตั้งคำถาม และไม่ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเป็นหนทางไปสู่ความเสื่อม”
“วรา จันทร์มณี” เห็นว่า คนจำนวนมากไม่อยากวิจารณ์พรรคประชาชน เพราะกลัวถูกด้อมส้มด่า! (55) แต่ในความเป็นจริง เหตุผลของการไม่วิจารณ์พรรคประชาชนน่าจะมีมากกว่านั้น อาทิ
1. ไม่อยากวิจารณ์เพราะกลัวพรรคที่ตนเองรักหรือเชียร์ เสียความศรัทธา เสียความน่าเชื่อถือ 2. มองว่าพรรคประชาชนคือความหวังเดียวในการเปลี่ยนแปลงสังคม และคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่พรรคการเมืองซึ่งเป็นองค์กรใหญ่จะมีข้อบกพร่อง เลยให้โอกาส และละที่จะวิพากษ์วิจารณ์ 3. ในกลุ่ม NGOs หรือกลุ่มกิจกรรมทางสังคม ยังต้องพึ่งพาอาศัย อารีอารอบ กับพรรคประชาชน จึงเกรงใจ หรือเก็บการวิจารณ์ไว้ในกลุ่มเล็กๆ เป็นการสนทนาภายใน เมื่อเก็บไว้ภายใน ก็ไม่ออกสู่สาธารณะ ในที่สุดก็เงียบ 4. อยู่ในสถานภาพ/สถาบัน ที่มิอาจวิจารณ์ได้ 5. อื่นๆ
“ไม่ว่าจะเหตุผลไหน ในเมื่อพรรคการเมืองอาสามาทำงานแทนประชาชน แต่หากประชาชนไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ หรือละการวิพากษ์วิจารณ์ ก็เท่ากับว่าเรากำลังให้ท้ายพรรคการเมือง ทำให้พรรคการเมืองอย่างพรรคประชาชนมีอภิสิทธิ์ไม่ต่างไปจากพรรคเพื่อไทย คือมีแค่คนไม่กี่คนบัญชาการ หรือหากไม่เหมือนพรรคเพื่อไทย ด้อมส้มก็กำลังทำให้พรรคประชาชนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แตะต้องไม่ได้ เมื่อเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แตะต้องไม่ได้ ก็เป็นอันตรายทั้งกระบวนการพัฒนาในพรรคเอง และการพัฒนาทางการเมือง”
“วรา จันทร์มณี” มอง ส.ส.กฤษฎิ์ ย้ายพรรคว่า แน่นอนสมควรประณาม และควรโดนลงโทษทางสังคม อีกทั้งจะเป็นมาตรฐานต่อไปว่านักการเมืองไม่ควรทรยศต่อประชาชน เมื่อจะกล่าวถึงที่มาในส่วนของการได้รับเลือกเป็นส.ส. กฤษฎิ์เองยอมรับว่า เหตุที่ชนะเลือกตั้งเพราะความนิยมในตัวพรรคเป็นหลัก คนศรัทธาพรรค จึงเลือกเขา ซึ่งน่าดีใจที่พรรคประชาชนทำตรงนี้ได้ดี
แต่อยากชวนคิดต่อ ประเด็นที่พึงระวัง คือ ในการที่ประชาชนศรัทธา ก็ไม่ได้หมายความว่า นักการเมืองอย่าง กฤษฎิ์ หรือพรรคการเมืองอย่างพรรคประชาชนจะทำอะไรก็ได้ โดยไม่คำนึงถึงพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน นึกถึงที่ คำผกา บอกว่า เรามีประชาธิปไตยแบบตัวแทน เมื่อเลือกพรรคการเมืองมาแล้ว พรรคการเมืองย่อมมีอำนาจในการตัดสินใจ โดยคำผกา พูดในทำนองการตัดสินใจที่เป็นเผด็จการ ชนิดที่ไม่ต้องฟังเสียงประชาชนอีกต่อไป
สิ่งหนึ่งที่ไม่ทราบว่า คนในพรรคประชาชนทราบหรือไม่ก็คือ มีคนจำนวนมากอึดอัดที่ต้องเป็นเหมือนเป็นของตาย พูดก็ไม่ได้ วิจารณ์ไม่ได้ แต่ก็จำเป็นต้องเลือกพรรคประชาชน เลือกเพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า สิ่งนี้เลยอาจทำให้ ‘บางคน’ ในพรรคประชาชนมั่นใจ ย่ามใจ ว่าตนเองคือผู้ถูกต้อง จนทำอะไรอย่างมั่นใจ Self โดยหลงลืมกาลเทศะ/สัมมาคารวะ ไม่ให้เกียรติ ไม่ให้ค่า คนอื่น เพียงเพราะตัวเองสวมหมวกพรรคประชาชน
ที่พูดว่า 'กาลเทศะ/สัมมาคารวะ' อาจฟังดูแย้งกับหลักการ ‘คนเท่ากัน’ แต่คำว่า ‘คนเท่ากัน’ ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้เกียรติ ไม่เห็นหัว หลงตัวเอง บ้าอัตตา จนลืมว่าอุดมการณ์ที่ถูกต้องคืออุดมการณ์ที่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่อุดมการณ์ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ตัวกู ของกู พรรคพวกกู
เมื่อพูดเรื่องหลักการ ‘คนเท่ากัน’ มีคนเล่าว่า แม้ปากบอกว่า อุดมการณ์ของพรรคคือคนเท่ากัน แต่การปฏิบัติตัวของว่าที่ ส.ส. ส.ส. หรือผู้ปฏิบัติงานพรรคบางคน ไม่ได้มองเห็นชาวบ้านหรือประชาชนเป็นคนเท่ากันกับตน แต่กลับมองเป็นราษฎร พสกนิกร ผู้ไม่รู้เท่า ผู้ไม่เก่งเท่า ซึ่งประชาชนอาจจะเป็นเช่นนั้นจริง แต่ไม่ใช่จิตสำนึกหรือท่าทีที่ดีของคนที่อาสามาทำงานทางการเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางนโยบายของพรรคประชาชน เช่น นโยบายประมง มีคำถามว่า ทำไมพรรคประชาชนจึงมีความเอนเอียงที่จะให้ความสำคัญกับคะแนนเสียงจากประมงพาณิชย์ทางภาคตะวันออกมากกว่าชาวประมงภาคใต้ หรือที่อื่นๆ ทำไมตอนนี้คนไม่เท่ากันแล้วล่ะ? ทำไมพรรคประชาชนไม่เห็นแก่ประโยชน์ของคนทั้งประเทศหรือความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเล
มีข้อสังเกตถึงด้อม ทำไมกรณีมาตรา 69 ด้อมส้มถึงเงียบฉี่ ใช่หรือไม่ว่าส่วนหนึ่งไม่เข้าใจรายละเอียด และใช่หรือไม่ว่า ส่วนหนึ่งไม่อยากวิจารณ์ให้พรรคเสียหาย เพราะเชียร์พรรค ไม่อยากให้พรรคเสียคะแนน อาการรักพรรค เชียร์พรรค ไม่อยากให้พรรคเสียคะแนนนี่ก็ไม่ต่างจาก 'แดงทักษิณ' แล้วอะไรคืออุดมการณ์ทางการเมือง?...
ความจริง “วรา จันทร์มณี” แจกแจงไว้ละเอียด ทั้งการบริหารจัดการภายในพรรค ปัญหาความโปร่งใส ความเป็นธรรมในการคัดเลือกตัวผู้สมัคร ปัญหากรรมการระดับจังหวัดหรือพื้นที่ยังไร้ประสิทธิภาพ ปัญหาคนในพรรคไม่ friendly กับ new entry ไม่มีน้ำใจ ไม่มีความเป็นมิตร ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ และปัญหาผู้สมัครส.ส. หรืออื่นๆ
ผ่านกระบวนการที่เจ้าตัวอ้างว่า เกิดจากการรับฟังแกนนำทางสังคม นักวิชาการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง
แน่นอน, ทั้งหมด อยู่ที่พรรคประชาชนจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่อย่างน้อยที่สุด ถ้านี่คือสิ่งที่จะนำไปสู่จุดเสื่อมจริง การมองเห็นก่อน ย่อมดีกว่า เพราะจะทำให้แก้ไขได้ทันท่วงทีนั่นเอง หรือว่าไม่จริง?







